วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

เขย่าขวดก่อนรินยา คุณทำแล้วหรือยัง?

หลาย ๆ ครั้งที่ยาที่คุณ ๆ ได้รับเป็นยาน้ำ และบนขวดมักมีฉลากติดไว้ว่า "เขย่าขวดทุกครั้งก่อนใช้ยา" แต่ทราบหรือไม่ว่าการเขย่าขวดก่อนใช้ยานั้นมีความสำคัญอย่างไร.....
การเขย่าขวดยาก่อนรินยาทุกครั้ง จะทำให้ตัวยาที่อยู่ในยาน้ำมีการกระจายตัวสม่ำเสมอ เมื่อรินยามาใช้คุณก็จะได้รับยาในขนาดที่ถูกต้อง และเท่า ๆ กันทุกครั้งที่ใช้ยา แต่หากละเลยไม่เขย่าขวดก่อน ตัวยาจะลงไปนอนก้นอยู่ที่ก้นขวด ดังนั้นเมื่อรินยาในครั้งแรก ๆ จะมีตัวยาน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ ทำให้รักษาโรคไม่หาย จนเมื่อรินยาในช่วงหลัง ๆ ตัวยาที่นอนก้นจะมีความเข้มข้นมาก ทำให้คุณได้รับยาในขนาดที่สูงกว่าที่ควรจะได้รับ และอาจเกิดอันตรายจากการได้รับยาเกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงถึงชีวิตได้ เห็นหรือไม่คะว่า ขั้นตอนง่าย ๆ เพียงแค่นี้ก็สามารถป้องกันอันตรายที่เกิดจากการใช้ยาได้ค่ะ

(ที่มา)http://www.kroobannok.com/26209

ธูปมรณะ

พบควันธูปตัวก่อสารเกิดมะเร็ง!! นักวิจัยค้นพบธูปที่จุด 1 ดอก มีสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวน หากจุดแค่ 3 ดอก ในบ้านก่อมลพิษเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง ไม่เว้นแม้แต่ธูปแบบไร้ควันและอโรมา เผยศาลเจ้าย่านเยาวราชเป็นแหล่งศูนย์รวมสารก่อมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังควันธูปปะปนไปด้วยสารต่างๆ มากมาย ทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน รวมถึงสารชื่อแปลกๆ อีก 3-4 ชนิด ซึ่งก็คงไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากมันไม่ได้ถูกให้คำจำกัดความจากแพทย์ว่าเป็น สารก่อมะเร็ง ตัวฉกาจ
ควันธูปสีขาวลอยคละคลุ้งอยู่เหนือแท่นบูชา ชวนให้นึกถึงบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ การอธิษฐาน การเชื่อมโยงโลกแห่งความจริงกับโลกทางจิตวิญญาณ แต่เคยนึกสงสัยหรือไม่ว่า ควันสีขาวที่ดูบริสุทธิ์ นุ่มนวล และมีมนต์ขลังนั้น มีอะไรปะปนอยู่บ้าง ข้อสังเกตง่ายๆ ที่หลายคนรู้สึกได้ด้วยตัวเอง เช่น แสบตา ไอ หรือจาม คือปัจจัยแรกๆ ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงสารที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมกับการเผาไหม้ ผลการวิจัยทั้งในและต่างประเทศในรอบหลายปีที่ผ่านมาต่างยืนยันว่า ควันธูปปะปนไปด้วยสารต่างๆ มากมาย ทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน รวมถึงสารชื่อแปลกๆ อีก 3-4 ชนิด เช่น ฟอร์มาดีไฮด์ เบนซีน บิวทาไดอีน ซึ่งก็คงไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากมันไม่ได้ถูกให้คำจำกัดความจากแพทย์ว่าเป็น "สารก่อมะเร็ง" ตัวฉกาจ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้า ไอ ซี ยู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เป็นผู้หนึ่งที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งพบว่า หลายคนโดยเฉพาะผู้หญิงไม่ได้มีประวัติสูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ และไม่มีประวัติสัมผัสกับสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพ คุณหมอจึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทำการการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของคนงานที่ปฏิบัติงานในวัด 3 แห่ง ในจังหวัดอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ จำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน ซึ่งคำตอบที่ได้อาจทำให้หลายคนต้องยกมือปิดจมูกทันทีเมื่อได้กลิ่นธูป เนื่องจากตัวเลขยืนยันว่า ควันธูปที่คละคลุ้งอยู่ในวัดต่างๆ มีปริมาณสารก่อมะเร็งสูงยิ่งกว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสียอีก “ตามปกติสาร 3 ตัวที่เราพบทั่วโลกยืนยันว่าเป็นสารก่อมะเร็งอยู่แล้ว แต่เราอยากทราบถึงปริมาณที่พบในวัดต่างๆ ซึ่งพอไปวัดดูก็พบว่า มีสารเบนซีนถึง 94 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถ้าเทียบกับปริมาณที่ระบุว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย คือเบนซีนความเข้มข้นไม่ควรเกิน 1.7 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ขณะที่ชุมชนแถวมาบตาพุดพบเพียง 2.2- 3.7 เท่านั้น ที่เราพบในวัดสูงกว่านั้นนับสิบเท่า ถามว่าอันไหนตื่นเต้นกว่ากัน” “สำหรับบิวทาไดอีน ตามมาตรฐานระบุว่าไม่ควรเกิน 0.33 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ที่มาบตาพุดวัดได้ 0.55, 0.43 แต่ที่เราพบในวัด 11 ไมโครกรัม ต่างกันเกินสิบเท่า สูงกว่าที่เขากังวล มากกว่าในมาตรฐาน ซึ่งในการศึกษาเรามีการเปรียบเทียบสถานที่ที่จุดธูปกับไม่จุดธูปด้วย เพื่อยืนยันว่าในบรรยากาศที่ที่มีการจุดธูปเยอะๆ มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่แตกต่างกันมาก” ถึงตอนนี้ถ้าใครยังนึกไม่ออกว่า พิษภัยของควันธูปนั้นร้ายแรงแค่ไหน คุณหมอเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่า "ธูป 1 ดอกที่ถูกจุด มีปริมาณสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวน" เลยทีเดียว ภัยร้ายใกล้มะเร็งแม้ว่าการพบสารก่อมะเร็งในควันธูปจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงการวิจัย แต่การศึกษาหาความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งของผู้ที่สูดดมควันธูปอยู่เป็นประจำถือเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง โดยการค้นหาความจริงในครั้งนี้ นอกจากจะมีการตรวจวัดปริมาณสารก่อมะเร็งทั้ง 3 ชนิดในอากาศบริเวณที่มีการจุดธูป และปริมาณการได้รับสารก่อมะเร็งเหล่านี้ในคนงานขณะปฏิบัติงาน ตลอดจนการวัดระดับของดัชนีชี้วัดของการได้รับสารก่อมะเร็งแล้ว การวิจัยยังได้ทำการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ โดยใช้ดัชนีชี้วัดของการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพในระยะเริ่มต้น ได้แก่ การตรวจวัดระดับการทำลายสารพันธุกรรมใน DNA ในคนงานด้วย “เราก็ตรวจในร่างกายคน ตรวจทั้งในเลือดและปัสสาวะ ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมหรือไม่ เพราะระยะเริ่มต้นของการเป็นมะเร็งคือการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม โดยจะมีการแตกหักของสายดีเอ็นเอ ซึ่งปกติร่างกายก็มีการแตกหัก แต่จะมีการซ่อมแซมได้ แต่กับคนที่ได้รับควันธูปเป็นประจำพบว่ามีการแตกหักเพิ่มขึ้น และมีการซ่อมแซมลดลง สุดท้ายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในพันธุกรรม เซลล์จะกลายเป็นเซลล์ใหม่ซึ่งมีการแบ่งตัวถาวร ไม่มีการหยุดเลย""กล่าวโดยสรุปก็คือ การหายใจเอาควันธูปเข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นต้นในห้องปฏิบัติการอย่างชัดเจน โดยเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้สูดควัน และเพื่อให้ผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด คนที่เรานำมาตรวจจะต้องเป็นเพศเดียวกัน อายุใกล้เคียงกัน ไม่สูบบุหรี่เหมือนกัน และเลือกวัดต่างจังหวัดเพื่อหลีกเลี่ยงมลพิษจากท่อไอเสีย ” อย่างไรก็ตามแม้ในทางการแพทย์จะไม่มีใครยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็ง แต่ข้อมูลจากการวิจัยหลายชิ้นก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความผิดปกติแรกเริ่มเกิดขึ้นจากการแตกหักของสาย DNA “การเข้าสู่ร่างกายจนเกิดการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์กับปริมาณและเวลา สะสมมากขึ้น นานมากขึ้น สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงก็จะถึงขั้นที่มันเปลี่ยนตัวเอง ซ่อมแซมไม่ได้ เปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ เซลล์นั้นพันธุกรรมมันเปลี่ยนแล้วมันก็กลายตัวไปเอง แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งจริงหรือเปล่า และในความเป็นจริงก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งปอด อาจกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เพราะว่าสารที่ได้รับเข้าไปมันขับถ่ายทางกระเพาะปัสสาวะ และคนเราไม่ได้ฉี่ตลอดเวลา กลั้นไว้ ก็ถูกกักไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ” ในความเห็นของคุณหมอ การดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรค จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการหวังผลจากการรักษา ซึ่งควันธูปที่เราคุ้นเคยนี้นอกจากจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งแล้ว ในเบื้องต้นยังมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ และเป็นอันตรายต่อคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ธูปอโรมาอันตรายยิ่งกว่าธูป 1 ดอก ใช้ไหว้ศพ, ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่, ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม, ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู, ธูป 9 ดอก บูชาเทพารักษ์, ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีน, หลักปฏิบัตินี้แม้หลายคนจะรู้ แต่ถ้าถามถึงความเป็นมา คำตอบอาจไม่ชัดเจนนัก ตามประวัติ ธูปมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ การจุดธูปเป็นพิธีกรรมที่ชาวอียิปต์ใช้สักการะเทพเจ้าด้วยควันที่มีกลิ่นหอม วัฒนธรรมนี้ได้แพร่ขยายไปยังประเทศกรีกและโรมันโบราณ กระทั่งเมื่อการจุดธูปเพื่อสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติได้แพร่มาถึงประเทศอินเดียในศาสนาฮินดูและต่อมายังศาสนาพุทธ คนไทยและอีกหลายประเทศจึงรับเอาธรรมเนียมนี้มาใช้ จนถึงปัจจุบันคาดว่าในแต่ปีทั่วโลกมีคนจุดธูปทั้นับหมื่นนับแสนตัน สำหรับประเทศไทย ธูป ไม่เพียงมีรูปแบบและการใช้งานอย่างหลากหลาย อุตสาหกรรมการผลิตธูปยังถือว่ามีอนาคตสดใส ซึ่งถือเป็นโชคดีของคนผลิต เพราะตราบใดที่มันยังไม่ถูกจุด พวกเขาก็ปลอดภัยนพ.มนูญ กล่าวว่าอันตรายของธูปนั้นเกิดการเผาไหม้ เช่นเดียวกับการเผาไหม้สารอินทรีย์อื่นๆ เนื่องจากธูปเป็นเครื่องหอมที่ทำมาจากขี้เลื่อย กาว และน้ำมันหอม“การเอาน้ำหอมมาเผาจะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง น้ำมันจากพืชทุกอย่างเป็นสารอินทรีย์เมื่อเผาไหม้จะเปลี่ยนรูปร่าง ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้เครดิตห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยและมีการตีพิมพ์แล้ว และแม้ว่าอาจจะขัดกับความเชื่อของคนจำนวนหนึ่ง แต่ทำแล้วต้องบอก บอกข้อดีข้อเสีย” ตามปกติธูปหนึ่งดอกอาจเผาไหม้หมดในเวลา 20 นาที แต่หลายครั้งมันก็สามารถส่งกลิ่นและควันได้นานถึง 3 วัน 3 คืน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของธูป แน่นอนว่าระดับความอันตรายย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่แต่ละคนสูดดมเข้าไป ซึ่งภัยใกล้ตัวนี้ไม่มียกเว้น แม้แต่ธูปอโรมาที่ใช้กันตามบ้านและในสปา “สารอโรมาอันตรายทั้งนั้น เราไปดูงานวิจัยของคนอื่นมา ธูปธรรมดากับธูปอโรมา ธูปอโรมาเมื่อมีการเผาไหม้จะมีการปล่อยเบนซีนออกมามากกว่าธูปธรรมดา เพราะว่าน้ำหอมอโรมาเวลาเผาเกิดสารอินทรีย์ระเหยง่าย คาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า แต่ฝุ่นละอองน้อยกว่า" สรุปอย่างเป็นทางการก็คือ ขึ้นชื่อว่าเป็นธูปแล้วและเมื่อมันถูกจุด ผู้ที่สูดดมเป็นระยะเวลานานย่อมมีความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งที่ทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ของสารพันธุกรรมและศักยภาพในการซ่อมแซมความผิดปกติของ DNA ลดลง ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้เป็นกลไกส่วนหนึ่งในการเหนี่ยวนำให้เกิดโรงมะเร็ง ทว่านั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทีมวิจัยเสนอให้ทุกคนไตร่ตรองให้มากขึ้นทุกครั้งที่จุดธูป ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งที่น่าเป็นห่วงพอๆ กับปัญหาสุขภาพ ก็คือผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน นพ.มนูญ ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และมีเทน ที่ปล่อยออกมาพร้อมควันธูปล้วนเป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก “ทุกๆ 1 ตันของธูปจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่ากับ 1 ใน 3 ของน้ำหนักธูป หากปีๆ หนึ่งทั้งโลกมีคนจุดธูปเป็นหมื่นถึงแสนตันจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนออกมาเป็นจำนวนมหาศาล”ถึงตอนนี้หลายคนอาจกำลังคิดหาวิธีป้องกันตัวเองจากควันธูป และถ้าใครกำลังคิดจะหาผ้าปิดจมูกมาเป็นตัวช่วย ขอแสดงความเสียใจ เพราะสารเหล่านี้มีอณูเล็กมาก พวกมันสามารถทะลุทะลวงผ่านใยบางๆ ของผ้า ผ่านหลอดลมเข้าไปสู่ร่างกายเราได้อย่างง่ายดายด้วยเหตุนี้คุณหมอจึงเสนอวิธีการง่ายๆ ที่น่าจะช่วยบรรเทาพิษภัยของควันธูปได้ "เพียงแค่ดับธูปให้เร็วที่สุด" “ผมคิดว่าแต่ละวัดน่าจะมีที่ใส่น้ำเตรียมไว้ เมื่อคนจุดธูป อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ดับธูปก่อนที่จะนำไปปักในกระถางธูป เพื่อลดการเกิดควันซึ่งเป็นอันตราย” และเพื่อให้การรณรงค์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ ได้ฝากกลอนสั้นๆ ไว้เตือนใจ"หยุดจุดธูป ลดคาร์บอน ช่วยโลกร้อน หย่อนควันพิษ ทอนฤทธิ์มะเร็ง"สุดท้ายจะเลือกจุดธูปเพื่ออธิษฐานให้สุขภาพแข็งแรง หรือจะดับธูปเพื่อรักษาสุขภาพ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของคุณ...



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

อันที่จริงก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่คะ เราเคยเขียนไปบ้างบางส่วนในหัวข้อ ข้อควรจำในการออกกำลังกาย คะ วันนี้จะมาขยายความต่อไปในบางข้อที่ดูเล็กๆน้อยๆแต่ก็จำเป็นเหมือนกันนะคะ
มาดูกันคะว่า 10 ข้อที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ2. ใช้น้ำหนักมากเกินไปโดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน (บางคนเล่นอกแต่ดันเอาแขนยก ) 3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกายเรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ4. ไม่ Cool Downข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ5. ออกกำลังกายหนักเกินไปการออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ 6. ดื่มน้ำน้อยไปเรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไปStair Stepper ก็คือเครื่อง Cardio ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนในภาพนี้น่ะคะ
ถ้าหากเราทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เท้าทั้งสองมากเกินไปจะทำให้บาดเจ็บที่หน้าแข้งและข้อเท้าได้นะคะ ระวังด้วยคะ8. ออกกำลังกายเบาเกินไปอย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าการเล่น Cardio หรือการออกกำลังกายให้ถึง 60-85% ของ Max Heart Rate จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันไปใช้ในการออกกำลังกายคะ 9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนักการใช้แรงสะบัดก็เป็นการออกแรงที่ผิดคะ การสะบัดนอกจากทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แล้วยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ด้วยนะคะ ออกแรงให้ทุกต้องและพอดีจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ออกแรงนะคะ10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลางข้อนี้ไม่จำเป็นมากนักสำหรับทุกๆคนนะคะ บางคนทานเพราะต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อะมิโนแอซิด ฯลฯ มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุคะ
โดยปกติคนไทยเรา หากออกกำลังกายแล้ว เราสามารถเสริมโปรตีนโดยการบริโภคไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือนมได้โดยตรงคะ ซึ่งมีประโยชน์เท่ากันหรือมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วยคะ ไม่ต้องไปเห่อตามฝรั่งคะ ต้องเข้าใจว่าบ้านเรากะบ้านเค้าอาหารการกิน และอากาศมันต่างกันคะ เราโชคดีที่มีของสด ราคาไม่แพงให้บริโภคก็เลือกของสดที่มีคุณภาพดีมาบริโภคดีกว่าพึ่งอาหารเสริมนะคะ เอาล่ะคะ พอได้รู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว ก็เตรียมตัวไปออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงรับเทศกาลที่กำลังจะมาเยือนกันเลยคะ ออกกำลังกายให้ผิวสวย หน้าใส อย่าออกกำลังกายให้ผิวแห้ง หน้าหมองเลยนะคะ


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

วิตามินอี ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายคนเราอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รวบรวมวิตามินได้ประมาณ 13 ชนิด หนึ่งในนั้นได้แก่ วิตามินอี ที่เรามักได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือในด้านการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ดังนั้นนอกจากในอาหารแล้ว ยังพบว่ามีการสกัดวิตามินอีมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด คราวนี้จึงขอพาคุณทำความรู้จักกับวิตามินอี และประโยชน์ต่อร่างกายคนเราให้มากขึ้น
วิตามินอี คืออะไร? วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol) ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย วิตามินอีกับโรคมะเร็ง คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเกิดอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดสารไนโตรซามีน (nitrosamines) ตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารจำพวกไนไตรท์ที่มีในอาหารที่รับประทานเข้าไปภายในกระเพาะอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าวิตามินอียังมีผลช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ วิตามินอีกับการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง กระบวนการออกซิเดชันของไขมันชนิด LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลวในเลือดจะ มีผลทำให้เส้นเลือดเกิดความเสียหายอย่างมาก มีหลักฐานที่แสดงว่าวิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดกระบวนการที่ว่านี้ และช่วยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมองด้วย โดยได้มีการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่าคนที่ได้รับวิตามินอีอย่างน้อยวันละ 100 IU หลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันที่ผนังเลือดได้ และคนที่ได้รับวิตามินอีประมาณวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยปีครึ่งจะช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%
วิตามินอีกับโรคเบาหวาน เชื่อกันว่าสาเหตุที่คนเป็นโรคเบาหวานจะมีการสะสมของสารอนุมูลอิสระเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายผิดปกติ นอกจากนี้แล้วยังมีอัตราการตายจากการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้สูง มีงานวิจัยที่แสดงว่าคนเป็นโรคเบาหวานที่รับประทานวิตามินอีเพียงวันละ 100 IU จะช่วยทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ดี และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดอีกด้วย วิตามินอีกับโรคต้อกระจก โรคต้อกระจก (cataracts) เป็นความผิดปกติของเลนส์ตาทำให้มองภาพไม่ชัดเจน และอาจตาบอดได้ โดยเชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ผิดปกติของโปรตีนในเลนส์ตา มีการศึกษาพบว่าสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินอีสามารถช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดของโรคต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าสารในกลุ่มนี้ไม่ช่วยให้เกิดผลดีได้ในคนที่สูบบุหรี่ โดยพบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคต้อกระจก อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอีเกี่ยวกับโรคต้อกระจก วิตามินอี สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ วิตามินอีช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของระบบสืบพันธุ์ มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับวิตามินอีวันละ 800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดอาการต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และเจ็บหน้าอกได้ นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้มีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 30% แต่ก็อาจไม่ปรากฏผลหากคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของอสุจิ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมโทรมลง วิตามินอีกับผิวพรรณ สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์
จะเกิดอะไรขึ้นหากได้รับวิตามินอีมากเกินไป เนื่องจากวิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทาง ปัสสาวะดังเช่นวิตามินซี หรือวิตามินบี โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย นำผลเสียคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวัน อาหารชนิดใดบ้างที่เป็นแหล่งของวิตามินอี? แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้ จะเห็นว่าวิตามินอี มีอยู่ในอาหารหลากหลายชนิด ดังนั้นถ้าได้เลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับ ความต้องการของร่างกายแล้ว...หนทางสู่การมีสุขภาพดีก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ...



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ประโยชน์เปลือกผักผลไม้

ใครที่ชอบทานผักผลไม้ แล้วทิ้งเปลือก วันนี้เรามีประโยชน์ของเปลือกมาบอก...
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ทำวิจัยไว้ว่า- เปลือกแอ๊ปเปิ้ล เชื่อว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอ๊ปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2 ควอตช์ เลยทีเดียว- เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว
- ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน (เป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพรู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานผักผลไม้ทั้งเปลือกกันดู แต่ก็อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อน



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

พลังงานดวงอาทิตย์ เปลี่ยนเล็กน้อยส่งผลถึงโลก

คณะนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติ นำโดยศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติ ประเทศสหรัฐ อเมริกา พบว่า การเปลี่ยนแปลงบนดวงอาทิตย์ แม้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศโลก เช่น ปริมาณฝนในประเทศอินเดีย นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า เราสังเกตการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ว่ามากหรือน้อย จากจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์ ซึ่งมีลักษณะการเกิด-ดับเป็นวัฏจักร และจากข้อมูลสภาพอากาศโลกในรอบร้อยปีและการสร้างแบบจำลองบนเครื่องคอมพิวเตอร์ พบว่า การเปลี่ยนแปลงพลังงานแม้เพียงเล็กน้อยบนดวงอาทิตย์ก็มีอิทธิพลต่อลมและฝนบนโลกมนุษย์ของเราได้ ทั้งนี้ ข้อมูลที่พบ คือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานออกมามาก บรรยากาศชั้นสตราโตส เฟียร์ของโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงลมและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตร้อน นอกจากนั้น แสงแดดที่ร้อนขึ้นยังส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น ทำให้น้ำละเหยกลายเป็นไอสู่อากาศ ความชื้นในอากาศที่สูงขึ้นจะถูกอิทธิพลของลมสินค้าพัดพาไปให้เกิดฝนตกหนักขึ้นในเขตร้อนทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะเดียวกัน ในเขตร้อนฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีอุณหภูมิน้ำทะเลเย็นขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิดปรากฏการณ์คล้ายลานิญ่า นั่นคือ เกิดฝนตกหนักในด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงด้านเหนือ และมีอากาศแห้งแล้งในทวีปอเมริกาใต้"ดวงอาทิตย์ บรรยากาศโลกชั้นสตราโตสเฟียร์ และมหาสมุทร เป็นปัจจัย 3 สิ่งที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจวัฏจักรปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์สามารถทำให้คาดการณ์สภาพอากาศในแต่ละภูมิภาคได้ โดยในช่วงเวลานี้ดวงอาทิตย์อยู่ในความสงบ หลังจากที่ไปถึงจุดต่ำสุดเมื่อปลายปีก่อน และจะกลับมาส่งพลังงานสูงสุดอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2556" นักวิทยาศาสตร์ เผย


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

เผย 10 สนามบินอันตรายที่สุดในโลก

จากเหตุการณ์ระทึกขวัญ !! เครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ลื่นไถลพุ่งชนหอบังคับการบิน ของสนามบินเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งกระทรวงคมนาคม ได้สรุปเหตุการณ์เบื้องต้นแล้วว่า เกิดจากกระแสลมแปรปรวน (วินด์เชียร์) ทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว โดยสาเหตุไม่ได้เกิดจากสนามบิน หรือเครื่องบิน หรือนักบินไม่ได้มาตรฐานแต่อย่างใดแม้เหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกิดจากสภาพสนามบินที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่รู้หรือไม่ว่า สนามบินบนโลกใบนี้หลายแห่ง แม้จะได้มาตรฐานในเรื่องความปลอดภัย แต่มีข้อจำกัดเรื่องภูมิประเทศ จึงทำให้มีการจัดอันดับ 10 สนามบินที่น่ากลัวที่สุด ในโลก โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ news.com.au และ bsnnews.com อันดับ 1 เป็นสนามบิน ปาโร ที่ประเทศภูฏาน เนื่องจากหมู่บ้าน ปาโร ถูกโอบล้อมด้วยยอดเขาหิมาลายันที่มีความสูง 5,000 เมตร จึงเป็นเหตุให้สนามบินมีความท้าทาย ในการนำเครื่องลงจอดมากที่สุดในโลก และมีนักบินเพียง 8 คนในโลกเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ และสนามบินแห่งนี้มีรันเวย์เดียว เปิดบริการตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ปัจจุบันมีเพียงสายการบินดรุ๊ค แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวใช้บริการอันดับ 2 สนามบินนานาชาติ ปริ๊นเซส จูเลียน่า ใน เซนต์มาร์เตน แคริบเบียน สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 2,000 เมตร ถึงแม้ว่าเครื่องบินที่เหมาะสมในการนำมาลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ คือ เครื่องบินเจ๊ต ขนาดกลาง แต่ก็มีเครื่องบินขนาดใหญ่จากยุโรป เช่น โบอิ้ง 747 และแอร์บัส A340 มาลงจอดสนามบินแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งการนำเครื่องบินขนาดใหญ่มาลงจอด นักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ เหนือชายหาดมาโฮ แต่ก็ยังไม่เคยมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดภายในสนามบินแห่งนี้แต่อย่างใดอันดับ 3 สนามบิน เรแกน ที่กรุงวอชิงตัน ดี. ซี. สหรัฐอเมริกา โดยสนามบินแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่คาบเกี่ยวของเขตห้ามบิน ถึง 2 แห่งด้วยกัน นั่นก็คือ น่านฟ้าเหนือ เพนตากอน และสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ ที่ห้ามไม่ให้เครื่องบินใด ๆ บินผ่านโดยเด็ดขาด นักบินจึงจำเป็นต้องบินเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว ก่อนที่จะวกกลับมาลงจอดในสนามบิน ส่วนการนำเครื่องบิน บินขึ้น ก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะนักบินจำเป็นต้องไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังต้องเบนเครื่องบินไปทางด้านซ้าย เพื่อไม่ให้เครื่องบิน บินชนทำเนียบขาวอีกด้วย
อันดับ 4 สนามบิน จิบรอลตาร์ ที่ จิบรอลตาร์ ในยุโรป สนามบินแห่งนี้อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และอ่าวแอง เกลา ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก รันเวย์ของสนามบินแห่งนี้สร้างจากกรวดผสมน้ำมันดิน มีความยาวไม่ถึง 2,000 เมตร นักบินจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งในการลงจอดที่แน่นอน และแม่นยำ และต้องมีความพร้อมที่จะเบรกทันทีที่ล้อแตะรันเวย์ เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ลงไปจอดในทะเลแน่ ๆ ที่น่ากลัวอีกอย่างคือรันเวย์แห่งนี้มีถนนตัดผ่าน เวลามีเครื่องบินขึ้น-ลง ที่กั้นถนนก็จะพับลงมากั้นไม่ให้รถผ่าน ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา จะคล้ายเวลาวิ่งข้ามทางรถไฟอันดับ 5 รันเวย์จอดเครื่องบิน มาเทคาน ที่ประเทศเลโซโท รันเวย์มีความยาวเพียง 400 เมตร และมีไว้สำหรับการบินบริการทางการแพทย์โดยเฉพาะการนำเครื่องขึ้นที่รันเวย์ แห่งนี้นับเป็นประสบการณ์ขนหัวลุกของผู้โดยสาร เพราะเครื่องบินจะหล่นผลุบลงไปที่หน้าผาซึ่งมีความลึก 600 เมตร ก่อนที่จะ เริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ซึ่งนักบิน ระบุว่า การนำเครื่องขึ้นวิธีนี้จะปลอดภัยกว่าการบินขึ้นโดยตรงเหนือหน้าผาอันดับ 6 สนามบินบาร์รา ประเทศสกอตแลนด์ สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะบาร์รา ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศสกอตแลนด์ ที่นี่นับเป็นหนึ่งในสนามบินเพียง 2 แห่งในโลก ที่ใช้ “ชายหาด” เป็นรันเวย์ อีกแห่งอยู่ที่เกาะเฟรเซอร์ ประเทศออสเตรเลีย และเนื่องจากเวลาน้ำขึ้นรันเวย์ของสนามบินแห่งนี้จะหายไป ดังนั้นตารางบินของสนามบินแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่น้ำขึ้นน้ำลง และถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ต้องนำเครื่องลงจอดในเวลากลางคืน จะใช้วิธีนำรถยนต์มาจอดเรียง และเปิดไฟ เพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบริเวณแผ่นโลหะที่ถูกเรียงไว้บริเวณชายหาด เป็นการนำทางให้นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งชายหาดนี้ไม่ได้มีไว้ให้เครื่องบินขึ้น-ลงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก็บหอยชื่อดัง โดยนักท่องเที่ยวต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนภัยเอาเอง โดยเมื่อถุงลมลอยขึ้น แสดงว่า ขณะนั้นสนามบินกำลังจะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องรีบออกจากชายหาดทันทีอันดับ 7 สนามบินนานาชาติ ตอนคอนติน ในเทกูซิกัลปา ประเทศฮอนดูรัส สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 1,863 เมตร นับเป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติที่มีรันเวย์สั้นที่สุดในโลก และยังมีภูเขาล้อมรอบ ในการนำเครื่องบินลงจอดนักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินเลี้ยวไปทางด้าน ซ้าย 45 องศา ก่อนที่เครื่องบินจะแตะพื้นรันเวย์เพียงไม่กี่นาที สนามบินแห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นกับเครื่องบินแอร์บัส A320 ของสายการบินกรูโปทาคา ที่บินมาจากซาน ซัลวาดอร์ เมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นความผิดพลาดระหว่างการนำเครื่องบินลงจอดของนักบิน พิสูจน์ความน่ากลัวของสนามบินแห่งนี้ได้
อันดับ 8 สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สนามบินแห่งนี้ติดโผด้านความน่ากลัวตรงที่นักบินจะต้องคอยระมัดระวังเครื่อง บินลำอื่น ๆ ที่กำลังบินขึ้น-ลงยังสนามบิน ลา กวาร์เดีย และ สนามบินนิวยอร์ก ที่อยู่ใกล้ ๆ กันระหว่างนำเครื่องลงจอด ส่วนปลายด้านหนึ่งของรันเวย์สิ้นสุดลงที่ผืนน้ำของอ่าวจาไมก้าอันดับ 9 สนามบินนานาชาติ มาเดรา (ฟันชาล) บนเกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส การเปิดให้บริการช่วงแรกมีรันเวย์ยาวเพียง 1,600 เมตร และยังโอบล้อมด้วยภูเขาสูง และท้องทะเลทำให้การลงจอดเป็นไปได้ยาก มีเพียงนักบินที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน แห่งนี้ได้ แต่หลังเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับสายการบินแท็ป แอร์ปอตุกัล เมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากนักบินพยายามนำเครื่องลงจอด 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุในความพยายามลงจอดครั้งที่ 3 เนื่องจากรันเวย์สั้นเกินไป สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง 727-200 ประกอบกับมีฝนตกหนัก และลมกระโชกแรงทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี เครื่องบินจึงไถลออกนอกรันเวย์ และชนเข้ากับสะพานจนขาด 2 ท่อนทำให้เกิดไฟลุกท่วม เป็นเหตุให้ผู้โดยสารกว่า 100 คนเสียชีวิตต่อมาสนามบินแห่งนี้จึงได้ทุ่มงบประมาณในการขยายรันเวย์ให้มีความยาวมาก ขึ้นเป็นสองเท่า โดยทำส่วนต่อขยายให้ยื่นออกไปในทะเล โดยมีเสา 180 ต้นรองรับน้ำหนัก แต่นักบินที่จะนำเครื่องบินลงจอดบนสนามบินแห่งนี้ จำเป็นต้องได้รับการเทรนนิ่งเป็นพิเศษ เพราะการลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ จะต้องหันหัวเครื่องบินไปที่ภูเขา และเอียงเครื่องบินไปทางด้านขวาในนาทีสุดท้าย เพื่อจะตั้งลำให้อยู่ในแนวเดียวกับรันเวย์ที่จะปรากฏให้เห็นตรงหน้าชนิดที่ เรียกว่า แทบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียวอันดับ 10 สนามบิน ฮวนโช อี. ยาสควิน บนเกาะ ซาบา ในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สนามบินบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่ที่ขึ้นชื่อเรื่องน่ากลัว เพราะนักบินจะต้องรับมือกับลมกระโชกแรง ในขณะเตรียมแลนดิ้งลงบนรันเวย์ ที่มีความยาวเพียง 400 เมตรเท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าอันตรายสุด ๆ คือ ตำแหน่งของรันเวย์ที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูง ส่วนอีกด้านเป็นหน้าผา ปลายสุดของรันเวย์ทั้ง 2 ข้าง เป็นหน้าผา ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นหรือตอนลงก็จะตกลง ไปในทะเลทันที ปัจจุบันนี้มีเพียงสายการบิน วินด์วาร์ด ไอส์แลนด์ส ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เปิดบินบริการวันละ 1 เที่ยวบนสนามบินแห่งนี้การเกิดอุบัติเหตุนั้น มักเกิดขึ้นได้กับทุกสนามบินไม่ว่า ดีที่สุด หรือน่ากลัวที่สุดก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกคนควรตั้งสติให้ดี ในขณะที่แอร์ สจ๊วตแนะนำการใช้อุปกรณ์การช่วยเหลือตัวเองในยามเกิดเหตุ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือ การตั้งสติ สวดมนต์ภาวนา สถาน



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ผลวิจัยชี้เด็กไทยลองดื่มเหล้าตั้งแต่ 7 ขวบ

วันนี้(6 ก.ย.) ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึง การศึกษา การรับรู้ ทัศนคติ และความต่อการมีส่วนร่วมของเยาวชนต่อการยับยั้งปัญหาและพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในครอบครัว สำรวจเมื่อวันที่ 1-31 ก.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนประถมปีที่ 2 – 6 จำนวน 1,583 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 43% ยอมรับว่าเคยลองดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ซึ่งน่าเป็นห่วงมากเพราะผู้ที่ให้ลองคือ บิดา หรือคนในครอบครัว สำหรับอายุเฉลี่ยที่เริ่มดื่มคือ 9 ปี ขณะที่อายุต่ำสุดที่เคยดื่มเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น และยังพบว่า เด็ก 65% เคยไปซื้อด้วยตนเอง โดยที่ผู้ขายยอมขายทั้งที่รู้ว่าผิดกฎหมายเกินครึ่งคือ 55%
'ที่สำคัญพบว่าเด็ก 100% รู้จักกับสินค้าเหล้าปั่น เบียร์ปั่น เป็นอย่างดี สามารถแยกแยะยี่ห้อได้โดยรู้จักจาก 1.โฆษณา 2.สื่อตามร้านค้าร้านอาหาร 3.เห็นของจริง 4.เคยถูกใช้ไปซื้อ 5.เคยดื่มแล้ว กลุ่มตัวอย่าง 59% บอกว่าอยากลองดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเด็กอยากลองมากที่สุด คือ 1.เบียร์ 2.เหล้าปั่น 3.เบียร์ปั่น ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ มีขายตามร้านขายน้ำผลไม้ปั่นด้วย มีเด็กยอมรับว่าเคยไปทดลองดื่มเหล้าปั่นด้วยตัวเอง โดยไม่มีผู้ใหญ่พาไป และคิดว่าเหล้าปั่นไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอันตรายมาก เพราะร้านเหล่านี้อยู่ในชุมชนไม่ห่างจากโรงเรียน และอยู่รวมกับร้านขายน้ำหวาน น้ำผลไม้ มีแผงลอย รถเร่ ขายอยู่ทั่วไป ทำให้เด็กเข้าถึงได้ง่าย' ดร.ศรีรัช กล่าวดร.ศรีรัช กล่าวด้วยว่า สถานที่ๆเด็กระบุว่ามีสุราจำหน่ายมากที่สุดคือ ร้านอาหารประเภทหมูกระทะ ร้านสะดวกซื้อ โดยร้านที่กลุ่มอย่างสามารถซื้อสุราได้ด้วยตนเองคือ 1.ร้านชำใกล้บ้าน 2.ร้านสะดวกซื้อ ทั้งยังพบว่า เด็กส่วนใหญ่มีประสบการณ์เห็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากคนในครอบครัว 71% บอกว่า เห็นพ่อดื่ม ขณะที่ 32% เห็นพ่อเมา และเด็ก 35% ระบุว่าเกิดปัญหาครอบครัวหลังจากการดื่ม ซึ่งปัญหาที่พบมากที่สุดคือ ทะเลาะวิวาท โดยเด็กเชื่อว่า ผู้ใหญ่ดื่มเพราะแก้เครียด 22% และคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา 55%'ที่น่ากลัวมากคือ เด็กส่วนหนึ่งตั้งใจว่าเมื่ออายุครบ 18 ปี จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างแน่นอน และการพบเห็นประสบการณ์การดื่มจากคนในครอบครัวทำให้เด็กซึมซับพฤติกรรม เห็นเป็นเรื่องธรรมดา โดยพบว่าเด็กใช้เวลาเพียง 2 ปี ที่จะพัฒนาจากการทดลองดื่มมาเป็นนักดื่ม ซึ่งพบว่ามีเด็กอายุ 11-12 ปี ที่สามารถดื่มเหล้าถึงครึ่งขวดเพียงลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่' ดร.ศรีรัช กล่าว ดร.ศรีรัช กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ได้ผล ทำให้ไม่สามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย ซึ่งอยากเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งออกกฎหมายลูกเพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายที่มีอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี การออกประกาศกระทรวงเพื่อควบคุมการขายเหล้าปั่น โดยเฉพาะการขายใกล้บริเวณสถานศึกษา การขายแบบเร่ เพื่อทำให้เด็ก เยาวชน เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ยากรายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 7 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ประมาณ 50 คน จะเดินทางไปที่ทำเนียบรับบาลเพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี จัดการควบคุมปัญหาเหล้าปั่น พร้อมทั้งเร่งรัดให้มีการ ออกประกาศตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551.

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ประวัติร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น

เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เป็นแฟรน ไชส์ของร้านสะดวกซื้อ จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดที่มีสาขาทั่วโลกมากที่สุด ชื่อและระบบแฟรนไชส์นี้ เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท เซาธ์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา โดยชื่อของ 7-11 สื่อถึงเวลาเดิมที่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 07.00-23.00 น. เซเว่น-อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2470 โดยบริษัทเซาธ์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาธ์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน ทางบริษัทได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และเปลี่ยนชื่อเป็น Tote"m Store ต่อมาในปี 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ในระยะแรก เปิดบริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น-อีเลฟเว่น นั่นเองในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหา ทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยคะโด ซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัทในปี 2534 ในปี 2548 อิโต-โยคะโด ก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ และเซเว่น-อีเลฟเว่น ก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ ตั้งเซเว่น-อีเลฟเว่น ในประเทศไทยสำหรับประเทศไทย แฟรนไชส์ เซเว่น-อีเลฟเว่น บริหารโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (เดิมคือ บมจ.ซี.พี. เซเว่น อีเลฟเว่น) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยได้ลงนามในสัญญาซื้อสิทธิการประกอบกิจการจากเจ้าของสิทธิ์เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2531เซเว่น-อีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทย คือ สาขาถนนพัฒน์พงษ์ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพัฒน์พงษ์ เปิดบริการเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2532มีกลยุทธ์สำคัญที่เน้นบริการแบบอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยหยิบยกเอาวัฒนธรรมไทยในการไหว้และคำกล่าวทักทาย "สวัสดี" เปิดการขายและปิดการขายด้วยการ "ขอบคุณ" ทุกครั้ง จากนั้นมีบริการ "เคาน์เตอร์เซอร์วิส" เป็นแห่งแรกของประเทศไทยเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการชำระค่าสาธารณูปโภคทุกประเภท ได้แก่ ค่าน้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และบริการจากการผ่อนสินค้าและบริการต่างๆ ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เพราะทำให้ลูกค้าประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และยังติดตั้งเครื่องเอทีเอ็มไว้ที่ร้านสาขาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนทั่วไปปัจจุบันนี้ เซเว่น-อีเลฟเว่น เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง มีร้านสาขากระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วไทย โดยเฉพาะในชุมชนคนพลุกพล่าน และขยายไปอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. อีกด้วย มีจำนวนสาขาประมาณ 5,000 สาขา (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ค. 2552) เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีมากกว่า 3,000 สาขา ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับ 4 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด มีลูกค้ากว่า 4 ล้านคนต่อวัน ยอดขายเฉลี่ย 65,019 บาทต่อวันต่อสาขา

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ฟินแลนด์ใช้ปัสสาวะ ผสมไม้-ผลิตปุ๋ยมะเขือเทศ

เว็บไซต์ข่าววิทยาศาสตร์ "ป๊อปปูลาร์ ไซเอินซ์" รายงานว่า คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยควาปิโอ ประเทศฟินแลนด์ ระบุว่า ปัสสาวะ มนุษย์มีสารอาหารเหมาะสมสำหรับนำไปใช้ผลิตเป็นปุ๋ยปลูกมะเขือเทศ คณะผู้ทำการวิจัย ได้แก่ สุเรนทรา ประนันท์, เค. โฮโลไปเนน, และเฮลวี ไฮโนเน็น-ทันสกี โดยทดลองนำปัสสาวะมนุษย์จากห้องน้ำตามบ้านพักต่างๆ ซึ่งไม่มีสารเคมีใดๆ เจือปน จากนั้นนำไปใส่บรรจุภัณฑ์แช่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 45 องศาฟาเรนไฮต์ หรือราว 7.22 องศาเซลเซียส นาน 6 เดือนเพื่อตรวจสอบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย เมื่อครบ 6 เดือน นักวิจัยนำปัสสาวะดังกล่าวมาผสมกับเศษไม้ ซึ่งเก็บมาจากเตาเผาตามครัวเรือนทั่วไป และพบว่า สารอาหารที่ได้มีความเหมาะสมต่อการนำไปปลูกมะเขือเทศยิ่งกว่าใช้ปุ๋ยเคมี นอกจากนี้ อาสาสมัครผู้รับประทานมะเขือเทศที่ปลูกด้วยปัสสาวะยังยอมรับว่ามีรสชาติดีกว่ามะเขือเทศที่เคยซื้อตามท้องตลาด อย่างไรก็ตาม การนำปัสสาวะมาใช้ต้องผ่านการตรวจสอบโดยละเอียดว่าไม่มีจุลชีพหรือสิ่งสกปรกจากอุจจาระเข้ามาเจือปนเด็ดขาดก่อนหน้านี้ คณะนักวิจัยกลุ่มเดียวกันเคยทดลองนำปัสสาวะมนุษย์ไปใช้ปลูกพืช เช่น แตงกวาและกะหล่ำ แต่ภายหลังเปลี่ยนมาทดลองกับมะเขือเทศอย่างจริงจังเพราะเห็นว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกแพร่หลายทั่วโลก และใช้เป็นส่วนผสมในเมนูอาหารหลากหลายชนิด รายงานข่าวแจ้งว่า การปลูกพืชด้วยวิธีนี้อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับธุรกิจปลูกผักปลอดสารเคมี ซึ่งนับวันยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากขึ้นทุกขณะ และสอดคล้องกับความรู้ของคนสมัยเก่าที่ใช้ปัสสาวะทำปุ๋ยปลูกพืชมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

เครื่องบินพับกระดาษ จุดเริ่มต้นเรียนรู้วิทยาศาสตร์

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวถึงความสำเร็จของคณะผู้เข้าแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับตัวแทนประเทศไทยจาก "เอ็ม เทค" ที่มี ด.ช.หม่อง ทองดี อายุ 11 ขวบ นักเรียนชั้นป.4 โรงเรียนบ้านห้วยทราย จ.เชียงใหม่ ร่วมทีมอยู่ด้วย ว่า เรื่องเครื่องบินกระดาษพับที่ใครๆ เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ แต่ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หากตั้งใจศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เครื่องบินกระดาษพับก็ให้ประโยชน์มากมายกับผู้พับได้ โดยเฉพาะการสร้างทักษะ กระบวน การเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในสาขาฟิสิกส์ รวมไปถึงทักษะอื่นๆ เช่น การสังเกตรายละเอียด กระบวนการคิดต่างๆ จากความสำเร็จครั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยินดีสนับสนุนให้ทุกโรงเรียนหันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมในเชิงสร้างสรรค์เหล่านี้มากขึ้น และหากจะบรรจุกิจกรรมการพับเครื่องบินกระดาษให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้วยก็ยิ่งดี และรัฐบาลจะสนับสนุนเต็มที่ เพราะนอกจากจะให้เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประ โยชน์และสร้างความสนใจด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้นแล้ว อาจจะยังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ครอบครัว สถาบัน และประเทศชาติได้อีกด้วย
ด.ช.หม่อง สอนคุณหญิงกัลยา พับเครื่องบินกระดาษ"การพับเครื่องบินกระดาษ เป็นการเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีต้นทุนต่ำที่สุด แต่ให้ความรู้หลายอย่าง ทั้งเรื่องของการสังเกต หลักการทางด้านพลศาสตร์ ฟิสิกส์ ทักษะการศึกษาวิจัยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องง่ายใกล้ตัวที่ใครๆ ก็ทำได้ และที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่านักพับเครื่องบินกระดาษชาวญี่ปุ่นเขาก็สามารถนำความรู้เหล่านี้มาใช้เป็นอาชีพ จนได้รับชื่อเสียง เขียนหนังสือออกมาขายเป็นที่นิยมไปทั่วโลกด้วย ซึ่งหากคนไทยเราทำได้ และให้ความสนใจมากกว่านี้ก็คิดว่า เราจะได้อะไรจากกิจกรรมนี้อีกมากมายทีเดียว" คุณหญิงกัลยา กล่าว ด้าน ดร.ประเสริฐ เฉลิมการนนท์ หัวหน้าโครงการสร้างความตระหนักและแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ด้วยกิจกรรมเครื่องบินกระดาษ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี กล่าวว่า วัตถุประสงค์สำคัญในการจัดการแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับชิงแชมป์ประเทศไทย แท้จริงแล้วคือการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ไม่ว่าสัญชาติใดก็ตามได้เรียนรู้ถึงเรื่องการเรียนวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาค้นคว้าวิธีการ และเทคนิคของการพับกระดาษด้วยตัวเอง เป็นการสร้างความตระหนักและสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์มากขึ้น จากสิ่งรอบๆ ตัว และอาจจะพัฒนาไปสู่การศึกษาเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นได้ด้วย ซึ่งน่าดีใจว่าจากกรณีของ ด.ช.หม่อง ทองดี ทำให้เกิดกระแสเรื่องเครื่องบินกระดาษพับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เด็กหันมาสนใจมากขึ้น และด้วยแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นนี่เองอาจทำให้ในอนาคตประเทศไทยจะมีนักวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆ เพิ่มมากขึ้น"สำหรับผู้ที่สนใจในการพับเครื่องบินกระดาษเพื่อให้บินในอากาศได้นานๆ นั้น อยากแนะนำเทคนิคเล็กน้อยว่า เบื้องต้นสำคัญที่สุดคืออย่าทำให้กระดาษยับเพราะจะทำให้อากาศที่ผ่านเครื่องบินมีความแปรปรวนได้ ซึ่งมีผลต่อการอยู่ในอากาศของเครื่องบิน จากนั้นผู้พับอาจจะต้องทดลองเอาเครื่องบินขึ้นบิน และศึกษาดูว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน ซึ่งนั่นจะเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ผู้พับได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนไปด้วย" ดร.ประเสริฐ กล่าว
ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ร่างกายเราทำอะไรบ้างใน24ชั่วโมง

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้วิจัยและค้นคว้าร่างกายของมนุษย์เราว่า ทำอะไรบ้างในแต่ละชั่วโมง *01.00 น. คนส่วนใหญ่จะนอนหลับ ร่างกายจะมีความรู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมาก 02.00 น. นอกจากตับแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ามาก 03.00 น. ร่างกายทั้งหมดจะพักผ่อน กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย ความดันจะต่ำ ชีพจรจะเต้นช้า การหายใจก็จะช้า *04.00 น. สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยมาก ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายไปในระยะเวลานี้ 05.00 น. ไตจะไม่ทำหน้าที่กรอง เนื่องจากเราได้พักผ่อนมาระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น ในเวลาตื่นนอนอารมณ์จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ 06.00 น. ความดันเลือดจะสูงขึ้น หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น 07.00 น. ภูมิต้านทานโรคในช่วงนี้จะดีมาก เพราะร่างกายได้พักผ่อนมาแล้ว *08.00 น. ตับจะทำหน้าที่ขับพิษออกจากร่างกาย ในช่วงนี้ไม่ควรดื่มสุรา 09.00 น. จิตใจ อารมณ์ การทำงานจะดีมากในช่วงนี้ 10.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายและสุขภาพจะดีมาก เหมาะที่จะทำงาน 11.00 น. เป็นช่วงที่ขยันขันแข็งในการทำงาน ร่างกายยังไม่อ่อนเพลีย 12.00 น. ช่วงตอนที่จะหยุดงาน ทางที่ดีที่สุดอย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ควรจะรอช้ากว่าไปอีกสักหน่อย แล้วทานเอาช่วงเวลาประมาณ 12.30 หรือ 13.00 น. ก็จะดี 13.00 น. ตับจะพักผ่อน เนื่องจากเวลาการทำงานที่ดีได้ผ่านไปแล้ว ร่างกายในช่วงนี้จะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย *14.00 น. เป็นช่วงระยะเวลาที่ร่างกายรู้สึกอืดอาด เชื่องช้าที่สุดในระยะหนึ่งของแต่ละวัน 15.00 น. ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่ไวมาก สมรรถภาพของพละกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้น 16.00 น. ในกระแสเลือด จะมีน้ำตาลเพิ่มขึ้น แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว 17.00 น. สมรรถภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากนักกีฬาที่ออกกำลังกาย จะมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น 18.00 น. ความรู้สึกต่ออาการเจ็บปวดจะลดน้อยลง ขอให้เพิ่มการออกกำลังกาย *19.00 น. ความดันของเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น อารมณ์จะไม่ค่อยดีนัก มักจะเกิดงขึ้นได้ด้วยสาเหตุเล็กๆน้อยๆ 20.00 น. น้ำหนักตัวจะรู้สึกเพิ่มมากขึ้น สะท้อนออกถึงความผิดปกติอย่างรวดเร็ว *21.00 น. อารมณ์จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ ความจำจะดีขึ้น สามารถคิดสิ่งต่างๆ ออกได้ 22.00 น. ในกระแสโลหิต จะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาว อุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง *23.00 น. ร่างกายตระเตรียมพักผ่อน เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ 24.00 น. เข้าสู่ชั่วโมงแห่งการหลับไหล
ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ร่วมคิด...เตือนอันตราย หยุด!! พิษภัยควันบุหรี่

จากการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ที่มีความต่อเนื่อง วันงดสูบบุหรี่โลก ที่ใกล้มาถึงเป็นอีกวันดีมีความหมายให้ตระหนักถึงโทษพิษอันตรายจากการสูบบุหรี่ ซึ่งไม่เพียงเฉพาะผู้สูบ หากแต่ยังส่งผลถึงคนใกล้ชิดรอบข้าง รวมทั้งสิ่งแวดล้อมการอยู่ร่วมกัน
วันงดสูบบุหรี่โลกที่องค์การอนามัยโลกกำหนดขึ้นในวันสุดท้ายเดือนพฤษภาคมของทุกปีนับแต่ พ.ศ. 2531 เป็นต้นมาที่ทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชนองค์กรภาคีเครือข่ายประสาน ความร่วมมือรณรงค์เตือนพิษภัยทั้งจากการสูบ การได้รับควันบุหรี่มือสอง จากข้อมูลที่กล่าวถึงความสูญเสีย บุหรี่คร่าชีวิตคน ทั่วโลกปีละกว่า 5 ล้านคน และแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากการ สูบบุหรี่ปีละ 42,000 คน อีกทั้งพบตัวเลขจำนวนไม่น้อยในกลุ่มเยาวชน นักสูบหน้าใหม่แต่ละปีองค์การอนามัยโลกจะกำหนดคำขวัญประเด็นรณรงค์ ในปีนี้ Tobacco Health Warnings หรือในคำขวัญที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ บุหรี่มีพิษ ร่วมคิดเตือนภัย จากความต่อเนื่องวันงดสูบบุหรี่โลกที่มีจุดหมายกระตุ้นเตือนประชาชน ทั่วโลก ตระหนักถึงการแพร่ระบาดของบุหรี่ สนับสนุนให้เกิดการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ในประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อปกป้องประชาชนจากโรคภัยและความสูญเสียนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า ปีนี้การรณรงค์ให้ความสำคัญการเตือนภัยจากบุหรี่ทั้งในกลุ่มเด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไปได้มีความรู้เข้าใจถึงโทษพิษภัยในผลกระทบที่เกิดจากการ สูบบุหรี่จากประเด็นรณรงค์นี้เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมคิดเตือนภัยรับผิดชอบดูแลสังคมร่วมกัน อีกทั้งในสิ่งที่รณรงค์หวังเป็นการป้องกันกลุ่มนักสูบหน้าใหม่กลุ่มเยาวชน ลดการสูบในผู้ที่สูบและปกป้องสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ห่างไกลจากอันตรายบุหรี่ ฯลฯ
“การรณรงค์แต่ละปีจะแตกต่างกันไปตามปัญหาภาพ รวมของทุก ๆ ประเทศสมาชิก ปีนี้เป็นความเข้มข้นการรณรงค์ที่จะแจ้งเตือนภัยทุกมิติที่จะลดการสูบบุหรี่ลง อย่างข้อมูลคำเตือนบนซองบุหรี่ทั้งรูปภาพและข้อความ ในการดำเนินการนั้นมีมายาวนานซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่สี่ของโลกที่ทำการจัดพิมพ์คำเตือนบนซองผลิตภัณฑ์ยาสูบและจากการเตือนภัยบนซองบุหรี่ที่ทางกรมฯ ภาคีเครือข่ายร่วมกันรณรงค์มีผลเป็นรูปธรรม”การเตือนภัยบนซองบุหรี่มีความต่อเนื่องโดยนับจากปี พ.ศ. 2517 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้มีการพิมพ์ข้อความคำเตือนบนซองบุหรี่ครั้งแรกโดยใช้คำว่า การสูบบุหรี่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จากนั้นพัฒนาข้อความ ปรับเนื้อหาข้อความ จัดทำภาพ คำเตือน ฯลฯ เรื่อยมาตามลำดับ“ความเป็นอันตราย โทษพิษภัยแม้จะเป็นที่ทราบกัน แต่ในจำนวนผู้เสียชีวิต ตัวเลขการเจ็บป่วยในปีหนึ่ง ๆ ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย เหล่านี้มีความจำเป็น เช่นกัน ในการแจ้งเตือนภัยและจากที่เป็นหน่วยงานราชการเป็นแกนกลางประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อาทิ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ สสส. ฯลฯ ได้ร่วมกันรณรงค์และแม้จะมีตัวเลขลดลง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยังคงเป็นกลุ่มนักสูบหน้าใหม่ กลุ่มเยาวชนที่ต้องใกล้ชิดให้ความรู้ความเข้าใจ”ขณะที่สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โรคชิคุนกุนยา ฯลฯ กำลังเป็นที่กล่าวขาน โรคไม่ติดต่อที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง ทั้ง การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ฯลฯก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ความเจ็บป่วยเป็นภัยคุกคามสุขภาพและแม้ไม่ปรากฏผลทันที แต่ พิษภัยที่สะสมส่งผลในอนาคตอย่างโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็ง ฯลฯ การลด ละ เลิกสูบบุหรี่ หลีกไกลพฤติ กรรมเสี่ยงจึงมีความสำคัญควันบุหรี่ในบรรยากาศหรือควันบุหรี่มือสอง ทั้งที่เกิดจากผู้สูบพ่นออกมาและควันที่ลอยจากปลายมวนบุหรี่ระหว่างการสูบ การหายใจนำควันบุหรี่ในบรรยากาศเข้าสู่ร่างกายที่เรียกว่า การสูบบุหรี่มือสอง จากควันบุหรี่ จากข้อมูลสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรคและข้อมูลมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่บอกเล่าสารเคมีที่เป็นสารพิษ สารก่อมะเร็ง
สารพิษในควันบุหรี่ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมีทั้ง นิโคติน สารที่ทำให้เกิดการเสพติดทำให้เกิดโรคหัวใจ น้ำมันดิน (ทาร์) เป็นละอองเหนียวสีน้ำตาลคล้ายน้ำมันดิน ทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ ขณะที่ คาร์บอนมอ นอกไซด์ ก๊าซพิษชนิดเดียวกับท่อไอเสียรถยนต์จะแย่งจับเม็ดเลือดแดงทำให้ร่างกายรับออกซิเจนได้น้อยลง ก่อเกิดอาการมึนงง คลื่นไส้ เหนื่อยง่าย ส่วน ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ก๊าซที่ทำลายเยื่อบุหลอดลมและถุงลมทำให้เกิดอาการไอ มีเสมหะและหลอดลมอักเสบเรื้อรังได้ แอมโมเนีย มีฤทธิ์ระคายเคืองเนื้อเยื่อทำให้แสบตา แสบจมูก หลอดลมอักเสบ ฯลฯ และ จากควันบุหรี่ที่ส่งผลต่อสุขภาพ หากเป็นผู้ใหญ่ การได้รับควันบุหรี่ในบ้านหรือที่ทำงานจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งปอดเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 เกิดผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดหัวใจทันทีที่ได้รับควันบุหรี่มือสองใน เด็กเล็ก เกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดบวมสูงกว่าเด็กทั่วไป มีอัตราการเกิดโรคหืดเพิ่มขึ้น ในระยะยาวเด็กที่ได้รับควันบุหรี่พัฒนาการของปอดจะน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้รับควันบุหรี่ อีกทั้งควันบุหรี่ส่งผลต่อหญิงมีครรภ์ เป็นต้นจากการรณรงค์ที่มีต่อเนื่องของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนในกิจกรรมวันงดสูบบุหรี่ โลกที่จะมีขึ้น ณ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ นอกจากนิทรรศการวิชาการ การให้บริการทางการแพทย์ยังมีความบันเทิงร่วมรณรงค์เน้นการเตือนภัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งผู้ที่ต้องการลด ละ เลิกสูบบุหรี่ วันงดสูบบุหรี่โลกที่กำลังจะมาถึงนี้อาจถือเป็นอีกโอกาส สร้างสุขภาพดีให้เกิดขึ้นกับตนเอง คนใกล้ชิดรอบข้างที่คุณรัก รวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดจากควันบุหรี่.10 วิธีช่วยเลิกสูบบุหรี่แต่ละปีมีคนไทยเลิกสูบบุหรี่ได้มากกว่า 2 แสนคน หรือโดยเฉลี่ยมีผู้เลิกสูบบุหรี่วันละ 600 คนและจากสถิติพบร้อยละ 80 ของผู้ที่หยุดสูบบุหรี่สามารถเลิกได้ด้วยตนเองโดยใช้วิธีหยุดสูบอย่างเด็ดขาดและจาก 10 วิธีนี้ที่มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่แนะนำไว้เป็นอีกแนวทางคำตอบการเลิกสูบบุหรี่ขอคำปรึกษา เพื่อให้มีแนวทางการเลิกบุหรี่ โดยอาจขอคำแนะนำที่หมายเลข 1600 หรือขอคำปรึกษาจากคนที่รู้จักที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จหากำลังใจ บอกคนใกล้ชิดได้ทราบถึงความตั้งใจที่จะเลิกสูบบุหรี่เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างจะช่วยให้คุณมีความพยายามที่จะเลิกสูบบุหรี่ให้ได้เพื่อคนที่คุณรักเป้าหมายอยู่ข้างหน้า ควรวางแผนการปฏิบัติตัวในระหว่างการเลิกสูบบุหรี่ โดยกำหนดวันที่จะลงมือเลิกสูบบุหรี่อาจเลือกวันสำคัญ ต่าง ๆ อย่าง วันเกิดตนเอง วันครบรอบแต่งงานวันเกิดลูก ฯลฯ แต่ทั้งนี้ไม่ควรกำหนดวันที่ไกลเกินไปไม่รอช้าลงมือ ควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการทิ้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำร่วมกับการสูบบุหรี่ เช่น อ่านหนังสือแทนการสูบบุหรี่ระหว่างเข้าห้องน้ำ ลุกจากโต๊ะอาหารทันทีที่ทานอาหารเสร็จ หรือ แปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหาร เตรียมผลไม้ ขนมขบเคี้ยวที่ไม่หวานหรือทำให้อ้วนทานแทนการสูบบุหรี่ ฯลฯถือคำมั่นสัญญาไม่หวั่นไหว บอกตัวเองว่ากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองและคนใกล้ชิด เมื่อนึกอยากสูบบุหรี่ก็ให้ทบทวนถึงเหตุผลการตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ อยู่ชิดใกล้กับคนที่ไม่สูบบุหรี่ ฯลฯห่างไกลสิ่งกระตุ้น ระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้อยากสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการ อยู่ท่ามกลางคนที่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ ไม่ควรหมกมุ่นเครียด เมื่อรู้สึกเครียดให้หยุดพัก พูดคุยกับคนอื่น ระลึกว่ามีคนไม่สูบบุหรี่อีกมากที่คลายเครียดด้วยการไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ควรจัดเวลาให้กับการออกกำลังกายวันละ 15-20 นาที ซึ่งนอกจากควบคุมน้ำหนักที่อาจเพิ่มขึ้นได้ยังทำ ให้สมองปลอดโปร่ง เพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจ ฯลฯ ไม่ท้าทายบุหรี่ อย่างคิดลองสูบเป็นบางครั้งบางคราวเพราะการทดลองอาจหมายถึงการหวนกลับไปสู่ความเคยชินเก่า ๆ และ หากต้องเริ่มต้นใหม่ก็อย่าท้อแท้.

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

10 ข่าววิทยาศาสตร์ แหกตาชาวโลก

1 พิลต์ดาวน์แมนเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1912 ชาร์ลส์ ดอว์สัน ชาวอังกฤษที่มีความสนใจวิชาโบราณคดี แพร่ข่าวว่าพบฟอสซิลกะโหลกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ในสุสานหมู่บ้านพิลต์ดาวน์ แคว้นอีสต์ซัสเส็กซ์ พร้อมกับตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้กับมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ว่า Eoanthropus dawsoniแม้เขาเสียชีวิตหลังจากสร้างเรื่องมานาน 4 ปี แต่ก็ยังมีผู้เชื่อมั่นว่า "พิลต์ดาวน์แมน" เป็นของจริงอยู่ต่อไปอีกกว่า 40 ปี จนถึงขั้นมีผู้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกบริเวณที่พบฟอสซิลลวงโลกเมื่อค.ศ. 1938กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าดอว์สันสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็ปาเข้าไป ค.ศ. 1953 โดยพบว่า ดอว์สันทำการมิกซ์แอนด์แมตช์ ด้วยการเอากะโหลกมนุษย์ กรามอุรังอุตังและฟันชิมแปนซีมาติดเข้าด้วยกัน2 ยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์การทะเลาะกันของชาย 2 คน เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิด "ยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์" ขึ้น จอร์จ ฮัลเป็นนักค้ายาสูบชาวนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทะเลาะกับบาทหลวงชื่อเติร์กถึงบทหนึ่งในไบเบิลที่ระบุว่า ยักษ์เคยอาศัยอยู่บนโลกวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1869 คนงาน 2 คนขุดดินที่ฟาร์มของนายวิลเลียม นิวเวล ลูกพี่ลูกน้องของฮัลในเมืองคาร์ดิฟฟ์และพบร่างยักษ์สูง 10 ฟุต ข่าวยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งนิวเวลและฮัลเก็บเงินผู้ที่อยากมาดู จากนั้นไม่นานทั้งสองขายยักษ์ให้กับนายเดวิด ฮันนัม เป็นเงิน 37,500 เหรียญ และฮันนัมได้นำไปออกแสดงจนได้เงินเป็นถุงเป็นถัง ต่อมาพีที. บาร์นัม ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโชว์แสดงของแปลก เจ้าของวลีดัง "มีคนโง่เกิดมาทุกนาที" ซึ่งหมายถึงคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อชมสิ่งหลอกลวงมาขอเช่ายักษ์ แต่ฮันนัมไม่ยอม บาร์นัม จึงจ้างวานให้ชายคนหนึ่งมาแกล้งนอนตายเป็นยักษ์ ฮันนัมจึงฟ้องร้องบาร์นัมต่อศาล ความมาแตกในการพิจารณาคดีนี่เองว่า ฮัลจ้างสั่งซื้อหินยิปซัมจากรัฐไอโอวาและจ้างช่างที่ชิคาโกให้มาแกะสลักเป็นรูปคน
3 วงพืชปริศนาเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว วงพืชปริศนาหรือ "คร็อปเซอร์เคิล" เริ่มเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุไปจนถึงโทรทัศน์ มีผู้เชื่อว่าลวดลายประหลาดในไร่เป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว หลายคนถึงกับยืนยันว่าเห็นจานบินอยู่เหนือแถบนั้นภายหลังพบว่า "คร็อปเซอร์เคิล" เป็นฝีมือของมนุษย์นี่เอง4 ผมบลอนด์สูญพันธุ์เมื่อค.ศ. 1865 มีข่าวลือกันว่า ในอนาคตผู้ที่มีผมบลอนด์จะสูญพันธุ์ไปจากโลกค.ศ. 2002 ก็เกิดข่าวนี้อีกครั้งเมื่อมีรายงานที่อ้างว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่า ผู้ที่มีผมบลอนด์จะสูญพันธุ์ภายใน 200 ปีข้างหน้าอย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกออกมาแถลงว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับข่าวชิ้นนี้5 สิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กซัน สหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ข่าว 6 ชิ้น เมื่อค.ศ. 1835 ว่า พบสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ ทั้งยูนิคอร์น มนุษย์มีปีก แพะและควายป่าไบซัน โดยผู้ที่รายงานคือ ดร.แอนดรูว์ แกรนต์ ภายหลังพบว่า ข่าวทั้งหมดไม่เป็นความจริง ส่วนผู้ที่ต้องสงสัยว่าใช้นามแฝงว่า "ดร.แอนดรูว์ แกรนต์" น่าจะเป็นนายริชาร์ด เอ. ล็อก ผู้สื่อข่าวของเดอะนิวยอร์คซัน แต่ล็อกไม่เคยยอมรับข้อกล่าวหานี้6 เครื่องจักรไม่ใช้พลังงานค.ศ. 1812 นายชาร์ลส์ เรดเฮฟเฟอร์ อ้างว่า เขาประดิษฐ์เครื่องจักรที่ทำงานโดยไม่ใช้ไฟฟ้าต่อมานายโรเบิร์ต ฟูลตัน วิศวกรจับได้ว่าเรดเฮฟเนอร์โกหก โดยเอาผนังตรงเครื่องจักรออก และพบสายไฟเชื่อมไปยังข้างบน เมื่อเดินตามสายไฟเรื่อยๆ เขาพบชายคนหนึ่งกำลังใช้มือหมุนเครื่องจักรเพื่อสร้างไฟฟ้า7 นรกอยู่ในโลกข่าวลือนี้เกิดขึ้นทางตอนเหนือของรัสเซีย เมื่อมีข่าวแพร่ว่า คนงานขุดหลุมลึก 14 กิโลเมตรและพบนรกอยู่ใต้ดิน ซึ่งในนั้นร้อนถึง 1,100 องศาเซลเซียส ทั้งยังมีผู้อ้างว่า ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากนรกด้วย8 ผู้ชายท้องค.ศ. 1999 เว็บไซต์ mailpregnancy.com รายงานว่า นายหลี่หมิงเว่ยเป็นชายคนแรกของโลกที่ตั้งครรภ์ภายหลังนายเวอร์จิลหว่อง ยอมรับว่า เต้าข่าวขึ้นมาเองโดยเห็นว่าเป็นงานศิลปะของการหลอกลวงคนทั่วโลก9 มองดาวอังคารด้วยตาเปล่าเมื่อพ.ศ. 2003 มีข่าวที่ส่งต่อกันทางอินเตอร์เน็ตว่า วันที่ 27 ตุลาคมของปีนั้น ดาวอังคารจะเคลื่อนมาใกล้โลก และมีขนาดใหญ่พอๆ กับพระจันทร์ จนมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ความจริงคือ ดางอังคารเคลื่อนเข้ามาใกล้โลกจริง แต่ไม่ใกล้พอที่เราจะเห็นด้วยตาเปล่า10 มนุษย์ต่างดาวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 เกิดข่าวลือว่า จานบินของมนุษย์ต่างดาวตกลงที่เมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และรัฐบาลสหรัฐปิดบังข่าวนี้ค.ศ. 1995 นายเรย์ ซานติลลี่ ชาวอังกฤษ โชว์ภาพวิดีโอที่อ้างว่า ถ่ายได้หลังจากจานบินตกที่รอสเวลล์เพียงไม่นาน แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซานติลลี่ยอมรับว่าโกหกและทำวิดีโอขึ้นมาเอง


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ประโยชน์ของการหัวเราะ

วันนี้มีประโยชน์จากการหัวเราะมาบอก...- ความดันโลหิตลดลง- ฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดลดลง ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ก็เป็นปกติ- กระตุ้นระบบภูมิชีวิต (Immune system) ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงแอนตี้บอดี้อื่น ๆ ในร่างกายด้วย- คลายความเจ็บปวด อารมณ์ขันทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด และยังกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว- กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ขณะที่หัวเราะ กล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย และเมื่อหยุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย เป็นการทำงานสองขั้นตอน- หายใจดีขึ้น การหัวเราะบ่อย ๆ ทำให้ปอดโล่ง หายใจได้ลึกขึ้นดีมาก ๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจรู้อย่างนี้แล้ว หันมาผ่อนคลายจิตใจ หัวเราะให้บ่อยขึ้น แต่อย่ามากกว่าปกติ เดี๋ยวคนรอบข้างจะหาว่า...ไม่รู้ตัว.


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

สิ่งที่ไม่ควรทานขณะท้องว่าง

อาหารบางชนิดไม่ควรทานขณะท้องว่างเพราะอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้เรามีอาหารที่ไม่ควรทานขณะท้องว่างมาบอก...
- กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง- ผัก การทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ- นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย ดังนั้นในขณะที่ท้องว่างจึงไม่ควรทาน- เหล้า หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้- น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต- ชา ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ- ลูกพลับ ไม่ควรทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร รู้อย่างนี้แล้ว เลือกทานอาหารให้ถูกที่ถูกเวลาจะดีกว่า.

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

13 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน

หน้าร้อนแบบนี้ ยิ่งเป็นบ้างเรา ยิ่งร้อนมากมาย เจ็บป่วยก็ง่ายแสนง่าย มาดูแลสุขภาพกันหน่อยนะจ๊ะเพื่อนๆ เดี๋ยวจะเที่ยวปิดเทอมไม่สนุกนะ
1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม 2. เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้ 4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ 5. อย่างด อาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการ สารอาหาร เพื่อกระตุ้น ระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วย ควบคุมน้ำหนัก ด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยง อาหาร จำพวก แป้งขัดขาว หรือ ของทอด ของมัน หากควบคุมอาหาร แล้วยังรู้สึก ท้องอืด และ อึดอัด อยู่ เม็กซ์ ทอมลินสัน นักโภชนาการ แนะนำให้ดื่ม น้ำชา เปปเปอร์มิ้นต์ ช่วยขับลม จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น6. ดูแลสุขภาพของเด็กโดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และทางเดิน 7. หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป 8. บุคคลที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอาย ุผู้ที่มีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น9. อย่าทา ครีมกันแดด อย่างเร่งรีบ แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้ทาให้ทั่วถึงแม้แต่ ในร่มผ้า ด้วย โดยทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และหลัง ว่ายน้ำ แม้ผลิตภัณฑ์จะเป็นสูตรกันน้ำ ก็ตาม โดยควรเลือกที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier10. อากาศร้อนจัดมีผลต่อ อารมณ์ หงุดหงิด และ หดหู่ (SAD - Seasonal Affective Disorder) จากสถิติ ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นลองออกไป เดินเล่น ช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงที่คนไม่มาก สิ่งสำคัญคือ พยายาม กระฉับกระเฉง เข้าไว้11. หากผิวแสบร้อนจาก การโดนแดด แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้กิน ยาแอสไพริน เพื่อลด อาการเจ็บปวด แล้วลองแช่ตัว ใน อ่างน้ำ อุณหภูมิร่างกาย โดยใส่ ออยล์ สำหรับ แช่อาบ จากนั้น บำรุงผิว ด้วย โลชัน ที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ หรือ อาฟเตอร์ซันเจล และหลีกเลี่ยงแดด ในวันถัดไป12. ลองทำ สเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียม อย่างง่าย ๆ คือ น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่ เอสเซ็นเชียลออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ 2 หยด และ สเปียร์มิ้นต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ใน กระบอกฉีด สำหรับพกติดตัว13. หากต้องออกไปเผชิญ อากาศร้อน ภายนอก ควรใช้ เครื่องสำอาง เนื้อครีม ที่ปัจจุบันมี เนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามัน ปัดทับด้วย บรอนเซอร์ หรือ แป้งชนิดฝุ่นอ่านกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้ในหน้าร้อนนี้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อนๆ


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ประโยชน์ของส้ม

ทราบหรือไม่ว่า การกินส้มให้ประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้มีประโยชน์ของส้มมาฝากกัน....จากรายงานการศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว หรือส้ม ให้ประโยชน์แก่สุขภาพ สรุปได้ว่า "กินส้มวันละใบ จะช่วยผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัวไปได้"นักวิจัยขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาลออสเตรเลีย ระบุว่า การกินผลไม้พวกมะนาวหรือส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง และยิ่งกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่เป็นประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคถึง 19 เปอร์เซ็นต์ด้วยผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วยรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ลองหาส้มมากินกันดีกว่า.

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ยางลบ ทำมาจากอะไร?

ยางลบทำมาจากยางพาราหรือเปล่าคะน้าชาติ แล้วทำไมมันถึงลบรอยดินสอได้ แต่ลบปากกาไม่ได้ แล้วลบทีตัวมันก็หายไปด้วยเหรอคะ ทำไมบางยี่ห้อถูกมาก แล้วก็ลบไม่ดี บางยี่ห้อแพงมาก ลบนิดเดียวก็สะอาด มันทำมาจากยางต่างชนิดกันหรือคะ น้าชาติช่วยตอบด้วยนะคะ น้องดินสอตอบ น้องดินสอ ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีบนอินเตอร์เน็ต ระบุว่า ยางลบ อเมริกันเรียก eraser อังกฤษเรียก rubber คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ เช่น กระดาษ ดินสอส่วนมากจึงมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน วิธีใช้ ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือ เนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมาก เพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆ แต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่า ยางลบจึงลบไม่ออก แต่ยาง ลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออก หากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลัก ยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิล พลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาว แต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุประวัติยางลบที่ปลายดินสอ ผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหิน ซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่ ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรก ต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยาง จากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้นอย่างไรก็ตาม ยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปัง เนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปี ค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์ (Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวร ยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรก แต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลาย เนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่น เนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลางยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียว ถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่า พลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียว ลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือ เนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ดื่มน้ำตอนไหนดีที่สุด

ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก... ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง) ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ดูแลผมสวยด้วยน้ำส้มสายชู

การใช้น้ำส้มสายชู นอกจากจะช่วยให้มีเส้นผมเป็นเงางามแล้ว ยังช่วยคืนสภาพเส้นผมที่แห้ง และแตกปลายให้กลับมีสุขภาพดีขึ้นด้วย1. เติมน้ำส้มสายชู 4 ช้อนชา ลงในแชมพู 2 ช้อนโต๊ะ ชโลมให้ทั่วศรีษะขณะสระผม2. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสสำหรับสีผมอ่อน และน้ำส้มสายชูบัลซามิค สำหรับผมที่มีสีเข้ม3. น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล จะช่วยในการขจัดแชมพูส่วนเกินที่ตกค้างอยู่บนหนังศรีษะ และ ปรับสภาพเส้นผมได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้ในการล้างผมขั้นสุดท้ายอาจผสมน้ำอุ่น ในปริมาณที่เท่ากันก่อนใช้ก็ได้4. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสครึ่งถ้วยผสมน้ำมะนาวครึ่งถ้วย หมักผม 10 นาที ก่อนสระผมจะช่วยให้สีผมที่คุณย้อมไว้เข้มขึ้น5. ผสมน้ำส้มสายชู ชนิดที่ทำจากไวน์กับซอสถั่วเหลือง ใช้หมักผมและทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออกจะช่วยขับสีผมที่เข้มหรือดำให้ดำขึ้นทีละน้อย ทั้งนี้นอกจากซอสถั่วเหลืองจะมีโปรตีนที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้นแล้ว ยังมีเม็ดสีซึ่งจะช่วยให้ผมดำเข้มขึ้นอีกด้วยใครที่อยากมีผมสวยแต่ไม่อยากลงทุนเยอะ ลองนำน้ำส้มสายชูมาดูแลรักษาผมให้สวยกันดูได้.

ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php