วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

เขย่าขวดก่อนรินยา คุณทำแล้วหรือยัง?

หลาย ๆ ครั้งที่ยาที่คุณ ๆ ได้รับเป็นยาน้ำ และบนขวดมักมีฉลากติดไว้ว่า "เขย่าขวดทุกครั้งก่อนใช้ยา" แต่ทราบหรือไม่ว่าการเขย่าขวดก่อนใช้ยานั้นมีความสำคัญอย่างไร.....
การเขย่าขวดยาก่อนรินยาทุกครั้ง จะทำให้ตัวยาที่อยู่ในยาน้ำมีการกระจายตัวสม่ำเสมอ เมื่อรินยามาใช้คุณก็จะได้รับยาในขนาดที่ถูกต้อง และเท่า ๆ กันทุกครั้งที่ใช้ยา แต่หากละเลยไม่เขย่าขวดก่อน ตัวยาจะลงไปนอนก้นอยู่ที่ก้นขวด ดังนั้นเมื่อรินยาในครั้งแรก ๆ จะมีตัวยาน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ ทำให้รักษาโรคไม่หาย จนเมื่อรินยาในช่วงหลัง ๆ ตัวยาที่นอนก้นจะมีความเข้มข้นมาก ทำให้คุณได้รับยาในขนาดที่สูงกว่าที่ควรจะได้รับ และอาจเกิดอันตรายจากการได้รับยาเกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงถึงชีวิตได้ เห็นหรือไม่คะว่า ขั้นตอนง่าย ๆ เพียงแค่นี้ก็สามารถป้องกันอันตรายที่เกิดจากการใช้ยาได้ค่ะ

(ที่มา)http://www.kroobannok.com/26209

ธูปมรณะ

พบควันธูปตัวก่อสารเกิดมะเร็ง!! นักวิจัยค้นพบธูปที่จุด 1 ดอก มีสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวน หากจุดแค่ 3 ดอก ในบ้านก่อมลพิษเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง ไม่เว้นแม้แต่ธูปแบบไร้ควันและอโรมา เผยศาลเจ้าย่านเยาวราชเป็นแหล่งศูนย์รวมสารก่อมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังควันธูปปะปนไปด้วยสารต่างๆ มากมาย ทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน รวมถึงสารชื่อแปลกๆ อีก 3-4 ชนิด ซึ่งก็คงไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากมันไม่ได้ถูกให้คำจำกัดความจากแพทย์ว่าเป็น สารก่อมะเร็ง ตัวฉกาจ
ควันธูปสีขาวลอยคละคลุ้งอยู่เหนือแท่นบูชา ชวนให้นึกถึงบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ การอธิษฐาน การเชื่อมโยงโลกแห่งความจริงกับโลกทางจิตวิญญาณ แต่เคยนึกสงสัยหรือไม่ว่า ควันสีขาวที่ดูบริสุทธิ์ นุ่มนวล และมีมนต์ขลังนั้น มีอะไรปะปนอยู่บ้าง ข้อสังเกตง่ายๆ ที่หลายคนรู้สึกได้ด้วยตัวเอง เช่น แสบตา ไอ หรือจาม คือปัจจัยแรกๆ ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงสารที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมกับการเผาไหม้ ผลการวิจัยทั้งในและต่างประเทศในรอบหลายปีที่ผ่านมาต่างยืนยันว่า ควันธูปปะปนไปด้วยสารต่างๆ มากมาย ทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน รวมถึงสารชื่อแปลกๆ อีก 3-4 ชนิด เช่น ฟอร์มาดีไฮด์ เบนซีน บิวทาไดอีน ซึ่งก็คงไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากมันไม่ได้ถูกให้คำจำกัดความจากแพทย์ว่าเป็น "สารก่อมะเร็ง" ตัวฉกาจ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้า ไอ ซี ยู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เป็นผู้หนึ่งที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งพบว่า หลายคนโดยเฉพาะผู้หญิงไม่ได้มีประวัติสูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ และไม่มีประวัติสัมผัสกับสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพ คุณหมอจึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทำการการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของคนงานที่ปฏิบัติงานในวัด 3 แห่ง ในจังหวัดอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ จำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน ซึ่งคำตอบที่ได้อาจทำให้หลายคนต้องยกมือปิดจมูกทันทีเมื่อได้กลิ่นธูป เนื่องจากตัวเลขยืนยันว่า ควันธูปที่คละคลุ้งอยู่ในวัดต่างๆ มีปริมาณสารก่อมะเร็งสูงยิ่งกว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสียอีก “ตามปกติสาร 3 ตัวที่เราพบทั่วโลกยืนยันว่าเป็นสารก่อมะเร็งอยู่แล้ว แต่เราอยากทราบถึงปริมาณที่พบในวัดต่างๆ ซึ่งพอไปวัดดูก็พบว่า มีสารเบนซีนถึง 94 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถ้าเทียบกับปริมาณที่ระบุว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย คือเบนซีนความเข้มข้นไม่ควรเกิน 1.7 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ขณะที่ชุมชนแถวมาบตาพุดพบเพียง 2.2- 3.7 เท่านั้น ที่เราพบในวัดสูงกว่านั้นนับสิบเท่า ถามว่าอันไหนตื่นเต้นกว่ากัน” “สำหรับบิวทาไดอีน ตามมาตรฐานระบุว่าไม่ควรเกิน 0.33 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ที่มาบตาพุดวัดได้ 0.55, 0.43 แต่ที่เราพบในวัด 11 ไมโครกรัม ต่างกันเกินสิบเท่า สูงกว่าที่เขากังวล มากกว่าในมาตรฐาน ซึ่งในการศึกษาเรามีการเปรียบเทียบสถานที่ที่จุดธูปกับไม่จุดธูปด้วย เพื่อยืนยันว่าในบรรยากาศที่ที่มีการจุดธูปเยอะๆ มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่แตกต่างกันมาก” ถึงตอนนี้ถ้าใครยังนึกไม่ออกว่า พิษภัยของควันธูปนั้นร้ายแรงแค่ไหน คุณหมอเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่า "ธูป 1 ดอกที่ถูกจุด มีปริมาณสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวน" เลยทีเดียว ภัยร้ายใกล้มะเร็งแม้ว่าการพบสารก่อมะเร็งในควันธูปจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงการวิจัย แต่การศึกษาหาความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งของผู้ที่สูดดมควันธูปอยู่เป็นประจำถือเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง โดยการค้นหาความจริงในครั้งนี้ นอกจากจะมีการตรวจวัดปริมาณสารก่อมะเร็งทั้ง 3 ชนิดในอากาศบริเวณที่มีการจุดธูป และปริมาณการได้รับสารก่อมะเร็งเหล่านี้ในคนงานขณะปฏิบัติงาน ตลอดจนการวัดระดับของดัชนีชี้วัดของการได้รับสารก่อมะเร็งแล้ว การวิจัยยังได้ทำการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ โดยใช้ดัชนีชี้วัดของการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพในระยะเริ่มต้น ได้แก่ การตรวจวัดระดับการทำลายสารพันธุกรรมใน DNA ในคนงานด้วย “เราก็ตรวจในร่างกายคน ตรวจทั้งในเลือดและปัสสาวะ ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมหรือไม่ เพราะระยะเริ่มต้นของการเป็นมะเร็งคือการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม โดยจะมีการแตกหักของสายดีเอ็นเอ ซึ่งปกติร่างกายก็มีการแตกหัก แต่จะมีการซ่อมแซมได้ แต่กับคนที่ได้รับควันธูปเป็นประจำพบว่ามีการแตกหักเพิ่มขึ้น และมีการซ่อมแซมลดลง สุดท้ายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในพันธุกรรม เซลล์จะกลายเป็นเซลล์ใหม่ซึ่งมีการแบ่งตัวถาวร ไม่มีการหยุดเลย""กล่าวโดยสรุปก็คือ การหายใจเอาควันธูปเข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นต้นในห้องปฏิบัติการอย่างชัดเจน โดยเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้สูดควัน และเพื่อให้ผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด คนที่เรานำมาตรวจจะต้องเป็นเพศเดียวกัน อายุใกล้เคียงกัน ไม่สูบบุหรี่เหมือนกัน และเลือกวัดต่างจังหวัดเพื่อหลีกเลี่ยงมลพิษจากท่อไอเสีย ” อย่างไรก็ตามแม้ในทางการแพทย์จะไม่มีใครยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็ง แต่ข้อมูลจากการวิจัยหลายชิ้นก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความผิดปกติแรกเริ่มเกิดขึ้นจากการแตกหักของสาย DNA “การเข้าสู่ร่างกายจนเกิดการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์กับปริมาณและเวลา สะสมมากขึ้น นานมากขึ้น สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงก็จะถึงขั้นที่มันเปลี่ยนตัวเอง ซ่อมแซมไม่ได้ เปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ เซลล์นั้นพันธุกรรมมันเปลี่ยนแล้วมันก็กลายตัวไปเอง แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งจริงหรือเปล่า และในความเป็นจริงก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งปอด อาจกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เพราะว่าสารที่ได้รับเข้าไปมันขับถ่ายทางกระเพาะปัสสาวะ และคนเราไม่ได้ฉี่ตลอดเวลา กลั้นไว้ ก็ถูกกักไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ” ในความเห็นของคุณหมอ การดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรค จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการหวังผลจากการรักษา ซึ่งควันธูปที่เราคุ้นเคยนี้นอกจากจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งแล้ว ในเบื้องต้นยังมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ และเป็นอันตรายต่อคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ธูปอโรมาอันตรายยิ่งกว่าธูป 1 ดอก ใช้ไหว้ศพ, ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่, ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม, ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู, ธูป 9 ดอก บูชาเทพารักษ์, ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีน, หลักปฏิบัตินี้แม้หลายคนจะรู้ แต่ถ้าถามถึงความเป็นมา คำตอบอาจไม่ชัดเจนนัก ตามประวัติ ธูปมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ การจุดธูปเป็นพิธีกรรมที่ชาวอียิปต์ใช้สักการะเทพเจ้าด้วยควันที่มีกลิ่นหอม วัฒนธรรมนี้ได้แพร่ขยายไปยังประเทศกรีกและโรมันโบราณ กระทั่งเมื่อการจุดธูปเพื่อสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติได้แพร่มาถึงประเทศอินเดียในศาสนาฮินดูและต่อมายังศาสนาพุทธ คนไทยและอีกหลายประเทศจึงรับเอาธรรมเนียมนี้มาใช้ จนถึงปัจจุบันคาดว่าในแต่ปีทั่วโลกมีคนจุดธูปทั้นับหมื่นนับแสนตัน สำหรับประเทศไทย ธูป ไม่เพียงมีรูปแบบและการใช้งานอย่างหลากหลาย อุตสาหกรรมการผลิตธูปยังถือว่ามีอนาคตสดใส ซึ่งถือเป็นโชคดีของคนผลิต เพราะตราบใดที่มันยังไม่ถูกจุด พวกเขาก็ปลอดภัยนพ.มนูญ กล่าวว่าอันตรายของธูปนั้นเกิดการเผาไหม้ เช่นเดียวกับการเผาไหม้สารอินทรีย์อื่นๆ เนื่องจากธูปเป็นเครื่องหอมที่ทำมาจากขี้เลื่อย กาว และน้ำมันหอม“การเอาน้ำหอมมาเผาจะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง น้ำมันจากพืชทุกอย่างเป็นสารอินทรีย์เมื่อเผาไหม้จะเปลี่ยนรูปร่าง ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้เครดิตห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยและมีการตีพิมพ์แล้ว และแม้ว่าอาจจะขัดกับความเชื่อของคนจำนวนหนึ่ง แต่ทำแล้วต้องบอก บอกข้อดีข้อเสีย” ตามปกติธูปหนึ่งดอกอาจเผาไหม้หมดในเวลา 20 นาที แต่หลายครั้งมันก็สามารถส่งกลิ่นและควันได้นานถึง 3 วัน 3 คืน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของธูป แน่นอนว่าระดับความอันตรายย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่แต่ละคนสูดดมเข้าไป ซึ่งภัยใกล้ตัวนี้ไม่มียกเว้น แม้แต่ธูปอโรมาที่ใช้กันตามบ้านและในสปา “สารอโรมาอันตรายทั้งนั้น เราไปดูงานวิจัยของคนอื่นมา ธูปธรรมดากับธูปอโรมา ธูปอโรมาเมื่อมีการเผาไหม้จะมีการปล่อยเบนซีนออกมามากกว่าธูปธรรมดา เพราะว่าน้ำหอมอโรมาเวลาเผาเกิดสารอินทรีย์ระเหยง่าย คาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า แต่ฝุ่นละอองน้อยกว่า" สรุปอย่างเป็นทางการก็คือ ขึ้นชื่อว่าเป็นธูปแล้วและเมื่อมันถูกจุด ผู้ที่สูดดมเป็นระยะเวลานานย่อมมีความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งที่ทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ของสารพันธุกรรมและศักยภาพในการซ่อมแซมความผิดปกติของ DNA ลดลง ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้เป็นกลไกส่วนหนึ่งในการเหนี่ยวนำให้เกิดโรงมะเร็ง ทว่านั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทีมวิจัยเสนอให้ทุกคนไตร่ตรองให้มากขึ้นทุกครั้งที่จุดธูป ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งที่น่าเป็นห่วงพอๆ กับปัญหาสุขภาพ ก็คือผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน นพ.มนูญ ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และมีเทน ที่ปล่อยออกมาพร้อมควันธูปล้วนเป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก “ทุกๆ 1 ตันของธูปจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่ากับ 1 ใน 3 ของน้ำหนักธูป หากปีๆ หนึ่งทั้งโลกมีคนจุดธูปเป็นหมื่นถึงแสนตันจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนออกมาเป็นจำนวนมหาศาล”ถึงตอนนี้หลายคนอาจกำลังคิดหาวิธีป้องกันตัวเองจากควันธูป และถ้าใครกำลังคิดจะหาผ้าปิดจมูกมาเป็นตัวช่วย ขอแสดงความเสียใจ เพราะสารเหล่านี้มีอณูเล็กมาก พวกมันสามารถทะลุทะลวงผ่านใยบางๆ ของผ้า ผ่านหลอดลมเข้าไปสู่ร่างกายเราได้อย่างง่ายดายด้วยเหตุนี้คุณหมอจึงเสนอวิธีการง่ายๆ ที่น่าจะช่วยบรรเทาพิษภัยของควันธูปได้ "เพียงแค่ดับธูปให้เร็วที่สุด" “ผมคิดว่าแต่ละวัดน่าจะมีที่ใส่น้ำเตรียมไว้ เมื่อคนจุดธูป อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ดับธูปก่อนที่จะนำไปปักในกระถางธูป เพื่อลดการเกิดควันซึ่งเป็นอันตราย” และเพื่อให้การรณรงค์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ ได้ฝากกลอนสั้นๆ ไว้เตือนใจ"หยุดจุดธูป ลดคาร์บอน ช่วยโลกร้อน หย่อนควันพิษ ทอนฤทธิ์มะเร็ง"สุดท้ายจะเลือกจุดธูปเพื่ออธิษฐานให้สุขภาพแข็งแรง หรือจะดับธูปเพื่อรักษาสุขภาพ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของคุณ...



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

อันที่จริงก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่คะ เราเคยเขียนไปบ้างบางส่วนในหัวข้อ ข้อควรจำในการออกกำลังกาย คะ วันนี้จะมาขยายความต่อไปในบางข้อที่ดูเล็กๆน้อยๆแต่ก็จำเป็นเหมือนกันนะคะ
มาดูกันคะว่า 10 ข้อที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ2. ใช้น้ำหนักมากเกินไปโดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน (บางคนเล่นอกแต่ดันเอาแขนยก ) 3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกายเรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ4. ไม่ Cool Downข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ5. ออกกำลังกายหนักเกินไปการออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ 6. ดื่มน้ำน้อยไปเรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไปStair Stepper ก็คือเครื่อง Cardio ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนในภาพนี้น่ะคะ
ถ้าหากเราทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เท้าทั้งสองมากเกินไปจะทำให้บาดเจ็บที่หน้าแข้งและข้อเท้าได้นะคะ ระวังด้วยคะ8. ออกกำลังกายเบาเกินไปอย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าการเล่น Cardio หรือการออกกำลังกายให้ถึง 60-85% ของ Max Heart Rate จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันไปใช้ในการออกกำลังกายคะ 9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนักการใช้แรงสะบัดก็เป็นการออกแรงที่ผิดคะ การสะบัดนอกจากทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แล้วยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ด้วยนะคะ ออกแรงให้ทุกต้องและพอดีจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ออกแรงนะคะ10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลางข้อนี้ไม่จำเป็นมากนักสำหรับทุกๆคนนะคะ บางคนทานเพราะต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อะมิโนแอซิด ฯลฯ มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุคะ
โดยปกติคนไทยเรา หากออกกำลังกายแล้ว เราสามารถเสริมโปรตีนโดยการบริโภคไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือนมได้โดยตรงคะ ซึ่งมีประโยชน์เท่ากันหรือมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วยคะ ไม่ต้องไปเห่อตามฝรั่งคะ ต้องเข้าใจว่าบ้านเรากะบ้านเค้าอาหารการกิน และอากาศมันต่างกันคะ เราโชคดีที่มีของสด ราคาไม่แพงให้บริโภคก็เลือกของสดที่มีคุณภาพดีมาบริโภคดีกว่าพึ่งอาหารเสริมนะคะ เอาล่ะคะ พอได้รู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว ก็เตรียมตัวไปออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงรับเทศกาลที่กำลังจะมาเยือนกันเลยคะ ออกกำลังกายให้ผิวสวย หน้าใส อย่าออกกำลังกายให้ผิวแห้ง หน้าหมองเลยนะคะ


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

วิตามินอี ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายคนเราอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รวบรวมวิตามินได้ประมาณ 13 ชนิด หนึ่งในนั้นได้แก่ วิตามินอี ที่เรามักได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือในด้านการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ดังนั้นนอกจากในอาหารแล้ว ยังพบว่ามีการสกัดวิตามินอีมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด คราวนี้จึงขอพาคุณทำความรู้จักกับวิตามินอี และประโยชน์ต่อร่างกายคนเราให้มากขึ้น
วิตามินอี คืออะไร? วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol) ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย วิตามินอีกับโรคมะเร็ง คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเกิดอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดสารไนโตรซามีน (nitrosamines) ตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารจำพวกไนไตรท์ที่มีในอาหารที่รับประทานเข้าไปภายในกระเพาะอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าวิตามินอียังมีผลช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ วิตามินอีกับการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง กระบวนการออกซิเดชันของไขมันชนิด LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลวในเลือดจะ มีผลทำให้เส้นเลือดเกิดความเสียหายอย่างมาก มีหลักฐานที่แสดงว่าวิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดกระบวนการที่ว่านี้ และช่วยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมองด้วย โดยได้มีการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่าคนที่ได้รับวิตามินอีอย่างน้อยวันละ 100 IU หลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันที่ผนังเลือดได้ และคนที่ได้รับวิตามินอีประมาณวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยปีครึ่งจะช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%
วิตามินอีกับโรคเบาหวาน เชื่อกันว่าสาเหตุที่คนเป็นโรคเบาหวานจะมีการสะสมของสารอนุมูลอิสระเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายผิดปกติ นอกจากนี้แล้วยังมีอัตราการตายจากการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้สูง มีงานวิจัยที่แสดงว่าคนเป็นโรคเบาหวานที่รับประทานวิตามินอีเพียงวันละ 100 IU จะช่วยทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ดี และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดอีกด้วย วิตามินอีกับโรคต้อกระจก โรคต้อกระจก (cataracts) เป็นความผิดปกติของเลนส์ตาทำให้มองภาพไม่ชัดเจน และอาจตาบอดได้ โดยเชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ผิดปกติของโปรตีนในเลนส์ตา มีการศึกษาพบว่าสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินอีสามารถช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดของโรคต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าสารในกลุ่มนี้ไม่ช่วยให้เกิดผลดีได้ในคนที่สูบบุหรี่ โดยพบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคต้อกระจก อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอีเกี่ยวกับโรคต้อกระจก วิตามินอี สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ วิตามินอีช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของระบบสืบพันธุ์ มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับวิตามินอีวันละ 800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดอาการต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และเจ็บหน้าอกได้ นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้มีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 30% แต่ก็อาจไม่ปรากฏผลหากคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของอสุจิ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมโทรมลง วิตามินอีกับผิวพรรณ สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์
จะเกิดอะไรขึ้นหากได้รับวิตามินอีมากเกินไป เนื่องจากวิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทาง ปัสสาวะดังเช่นวิตามินซี หรือวิตามินบี โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย นำผลเสียคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวัน อาหารชนิดใดบ้างที่เป็นแหล่งของวิตามินอี? แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้ จะเห็นว่าวิตามินอี มีอยู่ในอาหารหลากหลายชนิด ดังนั้นถ้าได้เลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับ ความต้องการของร่างกายแล้ว...หนทางสู่การมีสุขภาพดีก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ...



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

ประโยชน์เปลือกผักผลไม้

ใครที่ชอบทานผักผลไม้ แล้วทิ้งเปลือก วันนี้เรามีประโยชน์ของเปลือกมาบอก...
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ทำวิจัยไว้ว่า- เปลือกแอ๊ปเปิ้ล เชื่อว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอ๊ปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2 ควอตช์ เลยทีเดียว- เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว
- ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน (เป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพรู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานผักผลไม้ทั้งเปลือกกันดู แต่ก็อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อน



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

พลังงานดวงอาทิตย์ เปลี่ยนเล็กน้อยส่งผลถึงโลก

คณะนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติ นำโดยศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติ ประเทศสหรัฐ อเมริกา พบว่า การเปลี่ยนแปลงบนดวงอาทิตย์ แม้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศโลก เช่น ปริมาณฝนในประเทศอินเดีย นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า เราสังเกตการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ว่ามากหรือน้อย จากจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์ ซึ่งมีลักษณะการเกิด-ดับเป็นวัฏจักร และจากข้อมูลสภาพอากาศโลกในรอบร้อยปีและการสร้างแบบจำลองบนเครื่องคอมพิวเตอร์ พบว่า การเปลี่ยนแปลงพลังงานแม้เพียงเล็กน้อยบนดวงอาทิตย์ก็มีอิทธิพลต่อลมและฝนบนโลกมนุษย์ของเราได้ ทั้งนี้ ข้อมูลที่พบ คือ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานออกมามาก บรรยากาศชั้นสตราโตส เฟียร์ของโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงลมและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตร้อน นอกจากนั้น แสงแดดที่ร้อนขึ้นยังส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นขึ้น ทำให้น้ำละเหยกลายเป็นไอสู่อากาศ ความชื้นในอากาศที่สูงขึ้นจะถูกอิทธิพลของลมสินค้าพัดพาไปให้เกิดฝนตกหนักขึ้นในเขตร้อนทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะเดียวกัน ในเขตร้อนฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีอุณหภูมิน้ำทะเลเย็นขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิดปรากฏการณ์คล้ายลานิญ่า นั่นคือ เกิดฝนตกหนักในด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงด้านเหนือ และมีอากาศแห้งแล้งในทวีปอเมริกาใต้"ดวงอาทิตย์ บรรยากาศโลกชั้นสตราโตสเฟียร์ และมหาสมุทร เป็นปัจจัย 3 สิ่งที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจวัฏจักรปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์สามารถทำให้คาดการณ์สภาพอากาศในแต่ละภูมิภาคได้ โดยในช่วงเวลานี้ดวงอาทิตย์อยู่ในความสงบ หลังจากที่ไปถึงจุดต่ำสุดเมื่อปลายปีก่อน และจะกลับมาส่งพลังงานสูงสุดอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2556" นักวิทยาศาสตร์ เผย


ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php

เผย 10 สนามบินอันตรายที่สุดในโลก

จากเหตุการณ์ระทึกขวัญ !! เครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ลื่นไถลพุ่งชนหอบังคับการบิน ของสนามบินเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งกระทรวงคมนาคม ได้สรุปเหตุการณ์เบื้องต้นแล้วว่า เกิดจากกระแสลมแปรปรวน (วินด์เชียร์) ทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว โดยสาเหตุไม่ได้เกิดจากสนามบิน หรือเครื่องบิน หรือนักบินไม่ได้มาตรฐานแต่อย่างใดแม้เหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกิดจากสภาพสนามบินที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่รู้หรือไม่ว่า สนามบินบนโลกใบนี้หลายแห่ง แม้จะได้มาตรฐานในเรื่องความปลอดภัย แต่มีข้อจำกัดเรื่องภูมิประเทศ จึงทำให้มีการจัดอันดับ 10 สนามบินที่น่ากลัวที่สุด ในโลก โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ news.com.au และ bsnnews.com อันดับ 1 เป็นสนามบิน ปาโร ที่ประเทศภูฏาน เนื่องจากหมู่บ้าน ปาโร ถูกโอบล้อมด้วยยอดเขาหิมาลายันที่มีความสูง 5,000 เมตร จึงเป็นเหตุให้สนามบินมีความท้าทาย ในการนำเครื่องลงจอดมากที่สุดในโลก และมีนักบินเพียง 8 คนในโลกเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ และสนามบินแห่งนี้มีรันเวย์เดียว เปิดบริการตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ปัจจุบันมีเพียงสายการบินดรุ๊ค แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวใช้บริการอันดับ 2 สนามบินนานาชาติ ปริ๊นเซส จูเลียน่า ใน เซนต์มาร์เตน แคริบเบียน สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 2,000 เมตร ถึงแม้ว่าเครื่องบินที่เหมาะสมในการนำมาลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ คือ เครื่องบินเจ๊ต ขนาดกลาง แต่ก็มีเครื่องบินขนาดใหญ่จากยุโรป เช่น โบอิ้ง 747 และแอร์บัส A340 มาลงจอดสนามบินแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งการนำเครื่องบินขนาดใหญ่มาลงจอด นักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ เหนือชายหาดมาโฮ แต่ก็ยังไม่เคยมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดภายในสนามบินแห่งนี้แต่อย่างใดอันดับ 3 สนามบิน เรแกน ที่กรุงวอชิงตัน ดี. ซี. สหรัฐอเมริกา โดยสนามบินแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่คาบเกี่ยวของเขตห้ามบิน ถึง 2 แห่งด้วยกัน นั่นก็คือ น่านฟ้าเหนือ เพนตากอน และสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ ที่ห้ามไม่ให้เครื่องบินใด ๆ บินผ่านโดยเด็ดขาด นักบินจึงจำเป็นต้องบินเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว ก่อนที่จะวกกลับมาลงจอดในสนามบิน ส่วนการนำเครื่องบิน บินขึ้น ก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะนักบินจำเป็นต้องไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังต้องเบนเครื่องบินไปทางด้านซ้าย เพื่อไม่ให้เครื่องบิน บินชนทำเนียบขาวอีกด้วย
อันดับ 4 สนามบิน จิบรอลตาร์ ที่ จิบรอลตาร์ ในยุโรป สนามบินแห่งนี้อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และอ่าวแอง เกลา ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก รันเวย์ของสนามบินแห่งนี้สร้างจากกรวดผสมน้ำมันดิน มีความยาวไม่ถึง 2,000 เมตร นักบินจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งในการลงจอดที่แน่นอน และแม่นยำ และต้องมีความพร้อมที่จะเบรกทันทีที่ล้อแตะรันเวย์ เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ลงไปจอดในทะเลแน่ ๆ ที่น่ากลัวอีกอย่างคือรันเวย์แห่งนี้มีถนนตัดผ่าน เวลามีเครื่องบินขึ้น-ลง ที่กั้นถนนก็จะพับลงมากั้นไม่ให้รถผ่าน ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา จะคล้ายเวลาวิ่งข้ามทางรถไฟอันดับ 5 รันเวย์จอดเครื่องบิน มาเทคาน ที่ประเทศเลโซโท รันเวย์มีความยาวเพียง 400 เมตร และมีไว้สำหรับการบินบริการทางการแพทย์โดยเฉพาะการนำเครื่องขึ้นที่รันเวย์ แห่งนี้นับเป็นประสบการณ์ขนหัวลุกของผู้โดยสาร เพราะเครื่องบินจะหล่นผลุบลงไปที่หน้าผาซึ่งมีความลึก 600 เมตร ก่อนที่จะ เริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ซึ่งนักบิน ระบุว่า การนำเครื่องขึ้นวิธีนี้จะปลอดภัยกว่าการบินขึ้นโดยตรงเหนือหน้าผาอันดับ 6 สนามบินบาร์รา ประเทศสกอตแลนด์ สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะบาร์รา ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศสกอตแลนด์ ที่นี่นับเป็นหนึ่งในสนามบินเพียง 2 แห่งในโลก ที่ใช้ “ชายหาด” เป็นรันเวย์ อีกแห่งอยู่ที่เกาะเฟรเซอร์ ประเทศออสเตรเลีย และเนื่องจากเวลาน้ำขึ้นรันเวย์ของสนามบินแห่งนี้จะหายไป ดังนั้นตารางบินของสนามบินแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่น้ำขึ้นน้ำลง และถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ต้องนำเครื่องลงจอดในเวลากลางคืน จะใช้วิธีนำรถยนต์มาจอดเรียง และเปิดไฟ เพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบริเวณแผ่นโลหะที่ถูกเรียงไว้บริเวณชายหาด เป็นการนำทางให้นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งชายหาดนี้ไม่ได้มีไว้ให้เครื่องบินขึ้น-ลงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก็บหอยชื่อดัง โดยนักท่องเที่ยวต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนภัยเอาเอง โดยเมื่อถุงลมลอยขึ้น แสดงว่า ขณะนั้นสนามบินกำลังจะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องรีบออกจากชายหาดทันทีอันดับ 7 สนามบินนานาชาติ ตอนคอนติน ในเทกูซิกัลปา ประเทศฮอนดูรัส สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 1,863 เมตร นับเป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติที่มีรันเวย์สั้นที่สุดในโลก และยังมีภูเขาล้อมรอบ ในการนำเครื่องบินลงจอดนักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินเลี้ยวไปทางด้าน ซ้าย 45 องศา ก่อนที่เครื่องบินจะแตะพื้นรันเวย์เพียงไม่กี่นาที สนามบินแห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นกับเครื่องบินแอร์บัส A320 ของสายการบินกรูโปทาคา ที่บินมาจากซาน ซัลวาดอร์ เมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นความผิดพลาดระหว่างการนำเครื่องบินลงจอดของนักบิน พิสูจน์ความน่ากลัวของสนามบินแห่งนี้ได้
อันดับ 8 สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สนามบินแห่งนี้ติดโผด้านความน่ากลัวตรงที่นักบินจะต้องคอยระมัดระวังเครื่อง บินลำอื่น ๆ ที่กำลังบินขึ้น-ลงยังสนามบิน ลา กวาร์เดีย และ สนามบินนิวยอร์ก ที่อยู่ใกล้ ๆ กันระหว่างนำเครื่องลงจอด ส่วนปลายด้านหนึ่งของรันเวย์สิ้นสุดลงที่ผืนน้ำของอ่าวจาไมก้าอันดับ 9 สนามบินนานาชาติ มาเดรา (ฟันชาล) บนเกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส การเปิดให้บริการช่วงแรกมีรันเวย์ยาวเพียง 1,600 เมตร และยังโอบล้อมด้วยภูเขาสูง และท้องทะเลทำให้การลงจอดเป็นไปได้ยาก มีเพียงนักบินที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน แห่งนี้ได้ แต่หลังเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับสายการบินแท็ป แอร์ปอตุกัล เมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากนักบินพยายามนำเครื่องลงจอด 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุในความพยายามลงจอดครั้งที่ 3 เนื่องจากรันเวย์สั้นเกินไป สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง 727-200 ประกอบกับมีฝนตกหนัก และลมกระโชกแรงทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี เครื่องบินจึงไถลออกนอกรันเวย์ และชนเข้ากับสะพานจนขาด 2 ท่อนทำให้เกิดไฟลุกท่วม เป็นเหตุให้ผู้โดยสารกว่า 100 คนเสียชีวิตต่อมาสนามบินแห่งนี้จึงได้ทุ่มงบประมาณในการขยายรันเวย์ให้มีความยาวมาก ขึ้นเป็นสองเท่า โดยทำส่วนต่อขยายให้ยื่นออกไปในทะเล โดยมีเสา 180 ต้นรองรับน้ำหนัก แต่นักบินที่จะนำเครื่องบินลงจอดบนสนามบินแห่งนี้ จำเป็นต้องได้รับการเทรนนิ่งเป็นพิเศษ เพราะการลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ จะต้องหันหัวเครื่องบินไปที่ภูเขา และเอียงเครื่องบินไปทางด้านขวาในนาทีสุดท้าย เพื่อจะตั้งลำให้อยู่ในแนวเดียวกับรันเวย์ที่จะปรากฏให้เห็นตรงหน้าชนิดที่ เรียกว่า แทบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียวอันดับ 10 สนามบิน ฮวนโช อี. ยาสควิน บนเกาะ ซาบา ในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สนามบินบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่ที่ขึ้นชื่อเรื่องน่ากลัว เพราะนักบินจะต้องรับมือกับลมกระโชกแรง ในขณะเตรียมแลนดิ้งลงบนรันเวย์ ที่มีความยาวเพียง 400 เมตรเท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าอันตรายสุด ๆ คือ ตำแหน่งของรันเวย์ที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูง ส่วนอีกด้านเป็นหน้าผา ปลายสุดของรันเวย์ทั้ง 2 ข้าง เป็นหน้าผา ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นหรือตอนลงก็จะตกลง ไปในทะเลทันที ปัจจุบันนี้มีเพียงสายการบิน วินด์วาร์ด ไอส์แลนด์ส ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เปิดบินบริการวันละ 1 เที่ยวบนสนามบินแห่งนี้การเกิดอุบัติเหตุนั้น มักเกิดขึ้นได้กับทุกสนามบินไม่ว่า ดีที่สุด หรือน่ากลัวที่สุดก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกคนควรตั้งสติให้ดี ในขณะที่แอร์ สจ๊วตแนะนำการใช้อุปกรณ์การช่วยเหลือตัวเองในยามเกิดเหตุ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือ การตั้งสติ สวดมนต์ภาวนา สถาน



ที่มาhttp://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06024.php